9 ปีที่ยาวนาน : ตามหามิลานชุดแชมป์เซเรียอา ปี 2011

 

แม้จะกลับมาโชว์ฟอร์มได้ในเกมลีกที่คัมแบ็คกลับมาเอาชนะ เลชเช่ 4-1 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก หากจะบอกว่า เอซี มิลาน ทำผลงานได้ไม่สมกับชื่อเสียงของทีมเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

ปีศาจแดงดำที่ครองตำแหน่งเจ้ายุโรปถึง 7 สมัย ห่างหายจากการโลดแล่นในเวทีแชมเปี้ยนส์ลีกมากว่า 6 ปีแล้ว นับตั้งแต่ฤดูกาล 2014-15 ยิ่งไปกว่านั่นแชมป์รายการเมเจอร์ที่ทีมคว้ามาได้ครั้งล่าสุดต้องย้อนไปถึงถ้วยสคูเด็ตโต้ในปี 2011 

 

หลังจากแชมป์ครั้งนั้น พวกเขาก็ไล่ตามทีมคู่แข่งอย่าง ยูเวนตุส, นาโปลี, โรม่า หรือ แม้กระทั่ง อินเตอร์ มิลาน ที่ค่อยๆกลับมาลุ้นแชมป์ใน 2-3 ปีก่อน ไม่ทัน และดูเหมือนว่าจะโดนทิ้งห่างไปไกลด้วยซ้ำ

 

อีกทั้งภายใต้การคุมทีมของ สเตฟาโน่ ปิโอลี่ ในภาพโดยรวมของทีมก็ไม่ดีไปกว่าตอนที่ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ หรือ  มาร์โก จามเปาโล กุมบังเหียนซักเท่าไหร่ 

 

ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอทุกท่านไปย้อนความหลัง มิลาน ยุครุ่งเรืองที่พวกเขาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนมักกะโรนีเป็นสมัยที่ 18 เมื่อ 9 ปีก่อนผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

 

คริสเตียน อับเบียติ

 

 

นายทวารชาวอิตาเลี่ยน ย้ายจากมอนซ่า มาเฝ้าเสาในถิ่น ซาน ซีโร่ ตั้งแต่ปี 1998 และแขวนถุงมือไปกับทีมหลังจบฤดูกาล 2015-16 พร้อมทำสถิติเป็นผู้รักษาประตูของ มิลาน ที่ลงสนามมากที่สุดในสโมสร ด้วยจำนวน 380 นัด

 

แม้ว่า จิอันลุยจิ ดอนนารุมม่า มือกาวตัวจริงวัย 21 ปีของทีมชุดปัจจุบัน น่าจะทำลายสถิตินี้ของ อับเบียติ ได้ในซักวัน แต่เขาก็ต้องลงเล่นอีกราว 190 นัดเลยทีเดียว

 

 

อิกนาซิโอ้ อบาเต้

 

 

อีกหนึ่งแข้งที่เติบโตจากทีมเยาวชนของ มิลาน ที่ไม่สามารถเลื่อนมาเล่นชุดใหญ่ได้เต็มตัว แต่ อบาเต้ ก็พิสูจน์ฝีเท้าตัวเองกับ เอ็มโปลี และ โตริโน่ จนกลับมา ซาน ซีโร่ อีกครั้งในปี 2009

 

แบ็คความเร็วสูง ยึดตำแหน่งแบ็คขวาตัวหลักมานานถึง 10 ปี หลังจากนั้น ก่อนที่ปิดฉากอาชีพค้าแข้งกับ ปีศาจแดงดำในฤดูกาลก่อน โดยมีแฟนๆสแตนด์ดิ้ง โอเวชั่นเพื่อเป็นเกียรติให้กับ อบาเต้ ที่รับใช้สโมสรมายาวนานด้วย

 

 

ติอาโก้ ซิลวา

 

 

ก่อนหน้าที่ ติอาโก้ ซิลวา จะย้ายไปค้าแข้งกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในลีกเอิง ทุกคนรู้ดีว่าเขาคือกำลังสำคัญที่ช่วยให้ เอซี มิลาน คว้าแชมป์ในฤดูกาล 2010-11 จาก 3 ปีในซาน ซีโร่ อย่างไรก็ตาม ปราการหลังชาวบราซิลเลี่ยน กำลังจะกลายเป็นแข้งไร้สังกัดในซัมเมอร์นี้ หลังหมดสัญญากับสโมสรแดนน้ำหอม

 

สำหรับค่าตัว 36 ล้านปอนด์ ที่ มิลาน ได้จาก เปแอสเช ทำให้ ซิลวา เป็นกองหลังที่ขายได้ค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรจนถึงปัจจุบัน และไม่น่าจะมีใครทำลายได้ในเร็วๆนี้

 

 

อเลสซานโดร เนสต้า

 

 

หนึ่งในกองหลังที่ได้รับการยกย่องจากแฟนบอลว่าดีที่สุดในยุคของเขา เนสต้า สถาปนาตนเองเป็นแนวรับตัวหลักใน เอซี มิลาน ตั้งแต่ปี 2002 จนถึง ปี 2012

 

ต่อมา เขาย้ายไปเล่นกับ มอนทรีอัล อิมแพ็ค ที่เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ ช่วงสั้นๆ จากนั้นก็ตะลุย อินเดีย ซุปเปอร์ ลีก กับ เชนไนยิน เอฟซี แต่ก็ลงสนามแค่ 3 นัดในลีกก็ประกาศแขวนสตั๊ดในเวลาต่อมา

 

ปัจจุบัน เนสต้า เข้าสู่เส้นทางกุนซืออาชีพเต็มตัว โดยเริ่มคุม ไมอามี่ ในปี 2015 ก่อนจะลาออกมาทำงานในบ้านเกิดกับ เปรูจา และ โฟรซิโนเน่ คือสโมสรล่าสุดที่กุมบังเหียนตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา

 

 

ลูก้า อันโตนินี่

 

 

ในฤดูกาลนั้น แบ็คซ้ายคือตำแหน่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันเล่นมากที่สุดในทีม ไม่ว่าจะเป็น มาเร็ค แยนคูลอฟสกี้, จานลูก้า ซามบร็อตต้า แต่คนที่ได้ลงเล่นมากตำแหน่งนี้มากกว่าใครเพื่อนคือ ลูก้า อันโตนินี่ 

 

แบ็คซ้ายหน้าหล่อ มีเส้นทางค้าแข้งคล้ายคลึงกับ อบาเต้ ที่เติบโตในทีมเยาวชนปีศาจแดงดำ แต่ถูกปล่อยยืมจนขึ้นมาเล่นในชุดใหญ่ไม่ได้ แต่ก็แจ้งเกิดกับ เอ็มโปลี จนถูกดึงตัวกลับมาอีกครั้งในปี 2008 ก่อนจะเล่นในซาน ซีโร่ อีก 5 ปี จากนั้นจึงย้ายไปอยู่กับ เจนัวในปี 2013 ก่อนจะปิดฉากอาชีพค้าแข้งไปแบบเงียบๆกับ ปราโต้ ในปี 2016 

 

 

เจนนาโร่ กัตตูโซ่

 

 

เจนนาโร่ อยู่เล่นกับ เปรูจา, เรนเจอร์ส และ ซาเลอร์นิตาน่า ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับ มิลาน ในปี 1999 และอยู่กับทีมนาน 13 ปี โดยลงเล่นมากกว่า 467 นัด จนถึงฤดูกาล 2011-12 

 

กองกลางพันธ์ดุ ย้ายไปปิดฉากอาชีพกับ ซิยง สโมสรในสวิตเซอร์แลนด์ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวสู่การเป็นผู้จัดการทีมในเวลาต่อมา

 

จากนั้น อดีตแข้งฉายา ‘ไอ้รถถัง’ ก็คุมทั้ง ปาแลร์โม่, เครเต้, ปิซ่า ก่อนจะหวนกลับ ปีศาจแดงดำในฐานะกุนซือ เมื่อปี 2017 แต่ก็ทำงานได้ 2 ปี ก็แยกทางกับทีมหลังไม่สามารถคว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้

 

ตอนนี้ กัตตูโซ่ กุมบังเหียน นาโปลี พร้อมกับคว้าแชมป์แรกของตนในเส้นทางนี้ด้วยการเอาชนะจุดโทษ ยูเวนตุส ในศึกโคปปา อิตาเลีย นัดชิงชนะเลิศ เมื่อสัปดาห์ก่อน

 

 

คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ

 

 

เซดอร์ฟ เป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีสุดที่ทีมชาติฮอลแลนด์เคยมีมา รวมถึงในทีมเอซี มิลาน ด้วย โดยลงเล่นมากกว่า 431 นัดในทุกรายการ นับตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ เนสต้า ย้ายมา ซาน ซีโร่ เช่นกัน

 

มิดฟิลด์ชาวดัตช์ เป็นนักเตะคนเดียวที่คว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกกับ 3 สโมสร ก็คือ อาแจ็กซ์, เรอัล มาดริด และ รอสโซเนรี่ อีก 2 ครั้ง 

 

หลังลาทีมในปี 2012 เซดอร์ฟ ย้ายไปเล่นกับ โบตาโฟโก้ และประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2014 ก่อนจะกลับมา มิลาน ในฐานะผู้จัดการทีมในปีเดียวกัน แต่ก็ทำงานนี้แค่ 4 เดือนเท่านั้น จากนั้นก็คุมทั้ง เดปอร์ติโบ ลา กอรุนย่า และ ทีมชาติแคเมอรูน ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

 

 

เควิน-ปรินซ์ บัวเต็ง

 

 

ตลอดชีวิตค้าแข้ง บัวเต็ง ย้ายไปเล่นกับ 12 สโมสรทั่วทวีปยุโรป หลังประเดิมอาชีพครั้งแรกกับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ในปี 2004

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกที่เขาเล่นให้ เอซี มิลาน ใน 3 ปีแรก ระหว่างปี 2010 ถึง ปี 2013 คือสโมสรเดียวที่เขาเคยค้าแข้งยาวนานที่สุด จากนั้นก็ย้ายไปร่วมทีม ชาลเก้ อีก 2 ฤดูกาล ก่อนจะย้ายกลับมา อิตาลี อีกหนในปี 2016 แต่ก็ได้ลงเล่น ซาน ซีโร่ เพียง 11 นัด

 

นับตั้งแต่นั้น บัวเต็งคนพี่ ก็ตระเวนค้าแข้งไปทั่ว ทั้ง ลาส พัลมาส, ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต, ซาสซูโอโล่, บาร์เซโลน่า, ฟิออเรนติน่า และ เบซิคตัส แบบยืมตัวในปัจจุบัน

 

 

อเล็กซานเดร ปาโต้

 

 

ในช่วงที่ค้าแข้งกับ มิลาน น่าจะเป็นตอนที่ ปาโต้ ประสบความสำเร็จในอาชีพมากที่สุดแล้ว ด้วยการคว้าแชมป์เซเรียอาในปี 2011 ซึ่งปีนั้นยิงไป 14 ประตู จาก 25 นัดในลีก

 

แต่อาการบาดเจ็บที่รบกวน และฟอร์มการเล่นที่ตกลงทำให้เขาย้ายกลับไปเล่นในบ้านเกิดกับ โครินเธียนส์ในปี 2013 รวมไปถึงเล่นกับ เซา เปาโล แบบยืมตัว, เชลซี, บียาร์เรอัล ในปี 2016 และ เทียนจิน เทียนไห่ ในปี 2017 

 

ในตอนนี้ กองหน้าปากเป็ด ก็ยังค้าแข้งต่อไปในวัย 30 กับ เซา เปาโล ตั้งแต่ปี 2019 ที่ผ่านมา

 

 

โรบินโญ่

 

 

กองหน้าจอมพริ้ว ลงเล่นในซาน ซีโร่ เป็นเวลา 5 ฤดูกาล หลังค้าแข้งกับ ซานโตส, เรอัล มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

 

ทว่าหลังลา รอสโซเนรี่ ในปี 2015 ชีวิตค้าแข้งของ โรบินโญ่ ก็ไปได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก ซ้ำร้ายยังถูกศาลอิตาลีตัดสินมีความผิดฐานเป็น 1 ใน 6 ผู้ร่วมกระทำผิดล่วงละเมิดทางเพศต่อหญิงสาววัย 22 ปี ในไนท์คลับที่เมืองมิลาน เมื่อปี 2013 พร้อมสั่งลงโทษจำคุกนักเตะเป็นเวลา 9 ปี

 

ปัจจุบัน อดีตกองหน้าทีมชาติบราซิล กำลังเล่นกับ อิสตันบูล บาซาคเซฮีร์ สโมสรเบอร์ต้นๆใน ตุรกี ซุปเปอร์ ลีก

 

 

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

 

 

ความสำเร็จคือสิ่งที่อยู่คู่กับ ซลาตัน อิบราโมวิช เสมอ ไม่ว่าเขาจะย้ายไปเล่นไหน ทั้งใน ฮอลแลนด์, อิตาลี, สเปน, ฝรั่งเศส หรือ อังกฤษ ก็คว้าแชมป์มาครองได้ไม่ขาด

 

ในฤดูกาลแรกกับ มิลาน หอกชาวสวีดิช ย้ายมาเล่นด้วยสัญญายืมตัว พร้อมกับทำผลงานเด่นจนทีมคว้าแชมป์เซเรียอาในฤดูกาล 2010-11 มาครอง และได้ย้ายมาร่วมทีมแบบถาวรในต่อมา ซึ่งจบด้วยการคว้าตำแหน่งดาวซัลโวที่ 28 ประตูใน 32 เกม

 

แต่ในปี 2012 เขาเลือกตาม ซิลวา ย้ายไป เปแอสเช พร้อมกัน และประสบความสำเร็จเช่นเคย ก่อนจะย้ายไปร่วมงานกับ โชเซ่ มูรินโญ่ อีกครั้งที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2016 ซึ่งเป็นทีมสุดท้ายที่เขาคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์มาครั้งได้ก็คือ ยูโรป้าลีก กับ ลีกคัพ ในปี 2017

 

ซลาตัน ย้ายไปโชว์ความเทพชั่วคราวกับ แอลเอ กาแล็คซี่ ในอเมริกา และลมก็หวนพัดให้เขาย้ายไปกลับมาซาน ซีโร่ อีกครั้งในช่วงต้นปีนี้ ขณะที่มีอายุปาเข้าไป 38 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าแข้งเลือดไวกิ้งจะอยู่กับ มิลาน ต่อไปในฤดูกาลหน้าหรือไม่

 

 

ขุมกำลังตัวสำรอง

 

 

แน่นอนว่าทีมที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องมีขุมกำลังสำรองไว้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวี่ยนเพื่อแบ่งเบาภาระหรือทดแทนตัวหลักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี กุนซือของมิลานในตอนนั้นถือว่าสร้างจุดนี้ขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม

 

อย่างที่เกริ่นไปว่า แบ็คซ้ายคือตำแหน่งที่เปลี่ยนกันเล่นมากที่สุด แต่ ดานิเอเล่ โบเนร่า หรือ มาริอ เยเปส ก็มีส่วนช่วยยามที่ เนสต้า หรือ ซิลวา ไม่พร้อมในแผงหลังเช่นกัน ขณะที่ อบาเต้ มี มัสซิโม่ อ็อดโด้ คอยทดแทน แม้จะไม่มากก็ตาม

 

ในตำแหน่งกองกลาง นักเตะอายุแตะเลขบางคนถูกลดบทบาทลงไปพอสมควร เช่น อันเดร ปิร์โล่, มัสซิโม่ อัมโบรซินี่ หรือ มาร์ค ฟาน บอมเบล ที่เพิ่งย้ายในปี 2011 ก็ตาม เช่นเดียวกับ มาติเยอ ฟลามินี่ แต่ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

 

ส่วนตำแหน่งแนวรุก น่าจะเป็นจุดที่ อัลเลกรี หมุนเวียนใช้น้อยที่สุด เพราะทั้ง อิบราโมวิช, โรบินโญ่, ปาโต้ กำลังอยู่ในพีกทั้งสิ้น (ยิงในลีกเท่ากันคนละ 14 ประตู ) แต่ตัวสำรองของมิลานในชุดนั้นก็สามารถสร้างความแตกต่างในเกมได้ไม่แพ้ตัวจริงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อันโตนิโอ คาสซาโน่ (4 ประตูจาก 17 นัด ), ฟิลิปเป้ อินซากี้ ( 2 ประตูจาก 6 นัด ) หรือ โรนัลดินโญ่ (4 แอสซิสต์จาก 13 นัด )