‘
การท่าเรือ เอฟซี กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในศึก โตโยต้า ไทยลีก ซีซั่นนี้ หลังพวกเขาออกสตาร์ทฤดูกาลด้วยการชนะ 3 เกมรวด ยิงไป 10 ประตู เสียแค่เพียง 3 ลูกเท่านั้น นำเป็นจ่าฝูงของตารางเก็บ 9 คะแนน เต็ม ส่วนเกมนัดถัดไปถือเป็นอีกหนึ่งแมตช์สำคัญเช่นกัน เมื่อพวกเขาต้องบุกไปเยือนอีกทีมเต็งแชมป์อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และน่าจะเป็นการชี้วัดว่าใครกันแน่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวเต็งในการลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้
แน่นอนว่าจากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของขุนพล “สิงห์เจ้าท่า” ทำให้ไม่อาจคิดได้ว่าลูกทีมของ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ อาจจะกลายเป็นตัวเต็งในการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองไทย ในปีนี้ เนื่องจากหากพิจารณาในหลายปัจจัยแล้ว พวกเขาถือเป็นทีมที่น่าจับตามองไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยเฉพาะในเรื่องขุมกำลังที่เรียกได้แข็งแกร่งสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นนักเตะที่ย้ายเข้ามาใหม่อย่าง เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส ที่สามารถยกระดับความอันตรายให้กับเกมรุกของ การท่าเรือ ได้ทันที หรือบรรดานักเตะแกนหลักเดิมที่ยังรักษามาตรฐานการเล่นที่ยอดเยี่ยมของตัวต่อเนื่องจากฤดูกาลที่ผ่านมา รวมไปถึงยังมีอีกหลายปัจจัยที่อาจส่งผลให้ยอดทีมแห่งคลองเตย มีสิทธิ์สร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกของสโมสรในซีซั่นนี้
คู่แข่งแย่งแชมป์ยังไม่ลงล็อค
ต้องบอกเลยว่าสำหรับผลงานการออกสตาร์ทซีซั่นของ การท่าเรือ เอฟซี ในฤดูกาลนี้ถือว่าทำได้ดีมากๆ หลังลงเล่นไปแล้ว 3 นัด ลูกทีมของ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ชนะรวด และยิงประตูคู่แข่งได้แบบถล่มทลาย 10 ลูก จากการลงสนามแค่เพียง 3 เกม
ขณะเดียวกันหากมองไปยังคู่แข่งในการเบียดลุ้นแชมป์อย่าง สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทั้งสองทีมดูเหมือนจะยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นผลให้ทั้งคู่เริ่มต้นฤดูกาลนี้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะทางฝั่งทัพ “ปราสาทสายฟ้า” ที่แพ้ไปแล้วถึง 2 เกม อย่างไรก็ตามทั้งสองทีมมีโปรแกรมที่จะเจอกันในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นแมตช์สำคัญที่จะวัดให้เห็นกันไปเลยว่า ใครกันแน่ที่จะมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นทีมเต็งหนึ่งในการไล่ล่าแชมป์ปีนี้
ขณะที่ทัพ “กว่างโซ้งมหาภัย” แชมป์เก่า ด้วยภาระที่ต้องลงเล่นทั้งในลีก และศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ดูจะเป็นปัญหากับลูกทีมของ ทากิ มาซามิ อยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากผลงานในฟุตบอลถ้วยเอเชีย ที่พวกเขาแพ้มาแล้ว 2 เกมรวด ฟอร์มในลีกเองก็ถือว่ายังต้องปรับปรุงกันต่อไป หลังเก็บไปแค่เพียง 5 แต้ม จากการ ชนะ 1 เสมอ 2 ตลอด 3 แมตช์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับอีกหนึ่งทีมลุ้นแชมป์ที่ยังประมาณไม่ได้นั่นก็คือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งเพิ่งคว้า 3 แต้มแรกได้สำเร็จ จากการบุกไปเอาชนะทีมน้องใหม่อย่าง ระยอง เอฟซี หลังผลงานย่ำแย่ต่อเนื่องตลอด 2 นัด ก่อนหน้านี้
เพราะฉะนั้นหากจ่าฝูงในเวลานี้อย่าง การท่าเรือ เอฟซี สามารถเดินหน้าเก็บ 3 แต้ม และรักษาความได้เปรียบของตัวเองต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่แน่ว่าปีนี้พวกเขาอาจจะได้ฉลองแชมป์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรก็เป็นได้
เสริมทัพถูกจุด
ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับการเสริมทัพของ การท่าเรือ เอฟซี ในซีซั่นนี้ หลังพวกเขาตัดสินใจดึงนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาร่วมทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายของ เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส ดาวยิงชาวแซมบ้า ที่ย้ายมาจาก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
อย่างที่รู้กันดีปัญหาในการจบสกอร์ เป็นจุดอ่อนของทีม “สิงห์คลองเตย” มาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว หลังนักเตะตัวความหวังในแดนหน้าของพวกเขาทั้ง โจซิมาร์, โรแลน โด้ แบล็คเบิร์น และ ดราแกน บอสโควิช ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง ส่วนนักเตะดาวซันโวของทีมเมื่อซีซั่นที่ผ่านมาอย่าง เซร์คิโอ ซัวเรซ ยิงประตูในลีกไปแค่เพียง 10 ลูก เท่านั้น
ดังนั้นการมาของ เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส ถือเป็นการเสริมทัพที่ตรงจุดไม่น้อยเลยทีเดียว และหลังลงเล่นไปแล้ว 3 เกม ในซีซั่นนี้ แข้งวัย 31 ปี ซัดประตูให้ทีมไปแล้ว 3 ลูก แถมเป็นนักเตะคนสำคัญที่คอยช่วยชับเคลื่อนสร้างสรรค์เกมให้กับทีม เรียกได้ว่าทดแทนการหายไปของ สุมัญญา ปุริสาย ได้อย่างลง นอกจากนี้ยังมีนักเตะระด็อปของลีกอีกหลายคนที่ตบเท้าเข้ามาอยู่กับ การท่าเรือ เอฟซี เพื่อไล่ล่าแชมป์ในปีนี้ นำโดย กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์, ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา, ธนาสิทธิ์ ศิริผลา, อดิศักดิ์ ไกรษร และ ชาริล ชัปปุยส์
ขุมกำลังสุดโหด
แน่นอนว่าการเสริมทัพที่ตรงจุดของ การท่าเรือ เอฟซี ในซีซั่นนี้ มันส่งผลทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าซีซั่นที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด หากมาไล่กันดูดีๆลูกทีมของ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ มีขุมกำลังที่แข็งแกร่งตั้งแต่ในตำแหน่งผู้รักษาประตูอย่าง วรวุฒิ ศรีสุภา ที่โชว์ฟอร์มเซฟกระจุยมาตั้งแต่ซีซั่นที่ผ่านมา
ส่วนในตำแหน่งกองหลังถือว่าลงตัวตั้งแต่แบ็คทั้งสองฝั่งอย่าง นิติพงษ์ เสลานนท์ และ เควิน ดีรมรัมย์ ขณะที่คู่เซนเตอร์เป็น 2 นักเตะ ที่จับคู่มากันมาอย่างยาวนาน และเข้าขากันเป็นอย่างดี ทั้ง ดาบิด โรเชล่า และ เอเลียส ดอเลาะ
ส่วนในตำแหน่งกองกลาง ดาวรุ่งอย่าง กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม และจับคู่กลางสนามกับ โก ซุล กิ ได้อย่างลงตัว ทั้งคู่มีส่วนสำคัญในการทำลายเกมรุกของคู่ต่อสู้ และเป็นตัวเชื่อมบอลจากหลังสู่หน้าของทีม
ขณะที่แนวรุกแน่นอนว่าถือเป็นจุดแข็งของ การท่าเรือ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ที่แตกต่างจากเดิมคือการมีนักเตะอย่าง เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส เข้ามายกระดับความอันตรายในแดนหน้าให้มีความน่ากลัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการจบสกอร์ หรือการสร้างสรรค์เกมรุก เรียกได้ว่าเป็นไม้เด็ดของแข้งแซมบ้า รายนี้เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ ปกรณ์ เปรมภักดิ์, เซร์คิโอ ซัวเรซ และ บดินทร์ ผาลา ก็ถือเป็นแข้งหัวใจในเกมมรุกคนสำคัญของทีมไม่แพ้กัน
ขณะที่บรรดาตัวสำรองในปีนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งสุดๆ เพราะรายชื่อนักเตะส่วนใหญ่ต่างคุ้นหูแฟนบอลไทย เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา, ธนาสิทธิ์ ศิริผลา, อดิศักดิ์ ไกรษร และ ชาริล ชัปปุยส์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นดาวเตะระดับแถวหน้าของประเทศเกือบทั้งหมด เพราะฉะนั้นดูรวมๆแล้ว การท่าเรือ เอฟซี ถือเป็นทีมที่น่าจะตามอง และแข็งแกร่งมากที่สุดทีมหนึ่งในศึก โตโยต้า ไทยลีก 2020 เลยก็ว่าได้
“โค้ชโชค” คนที่ใช่สำหร้บ ท่าเรือ
นอกเหนือจากความแข็งแกร่งของขุมกำลังแข้ง “สิงห์ท่าเรือ” แล้ว การเข้ามาของ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปผงาดคว้าแชมป์ ช้าง เอฟเอ คัพ เมื่อซีซั่นที่ผ่านมาได้อย่างยิ่งใหญ่
ด้วยสไตล์บอลเกมรุกที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานกับการวางแผนเลือกใช้นักเตะของกุนซือหนุ่มวัย 44 ปี ทำให้ผลงานของ การท่าเรือ เอฟซี ร้อนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว ต่อเนื่องมาจนถึงซีซั่นนี้
อย่างไรก็ตามบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เพราะแน่นอนว่าสำหรับแฟนบอลคลองเตย เป้าหมายของพวกเขาอย่างเดียวคือต้องการเห็นสโมสรคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองไทย ให้ได้ ซึ่งนั่นเป็นความท้าทายที่อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติไทย ชุดแชมป์ ซีเกมส์ 2017 ต้องพาทีมก้าวไปให้ถึงฝั่งฝันแบบไม่มีข้อแม้
แฟนบอล “สิงห์เจ้าท่า” จุดแข็งเกมในบ้าน
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของ การท่าเรือ เลยก็ว่าได้ กับความได้เปรียบจากเสียงเชียร์ของแฟนบอลยามที่พวกเขาได้ลงเล่นในบ้าน และสามารถสร้างความกดดันให้กับคู่แข่งได้ทุกทีม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาแทบจะไม่เคยพลาดคว้า 3 แต้ม สำหรับการลงเล่นเกมในบ้านของตัวเองเลย
โดยในซีซั่นที่ผ่านมา สนาม แพท สเตเดี้ยม มีแฟนบอล “สิงห์เจ้าท่า” ตีตั๋วเข้ามาชมเกมตลอดทั้งฤดูกาล 76,492 คน หรือเฉลี่ยประมาณ 5,099 คนต่อเกม จากความจุเต็มที่ของสนาม 12,000 ที่นั่ง มากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของลีก
ส่วนฤดูกาลนี้ หลังผ่านไปแล้ว 2 เกม การท่าเรือ มีแฟนบอลเข้าไปส่งเสียงเชียร์ทีมรักของตัวเองในสนามทั้งหมด 12,405 คน โดยแบ่งเป็นเกมแรกที่เอาชนะ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี 4 – 1 จำนวน 6,940 คน และในเกมนัดสองที่พวกเขาเปิดบ้านเอาชนะ สมุทรปราการ ซิตี้ 4 – 1 ซึ่งมีแฟนบอลเข้าชมเกมราว 5,465 คน
แน่นนอว่าด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมของแฟนบอลชาวคลองเตย ที่มีให้กับทีมของพวกเขาเอง โดยเฉพาะในยามที่พวกเขาต้องลงเล่นในบ้าน เชื่อว่ามันเปรียบเสมือนกับแรงผลักดันสำคัญ