กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังมีรายการ “แฉแต่เช้า” ของบรรดาสื่อดังในอังกฤษ ที่ระบุว่า เมซุต โอซิล สตาร์ดังตาปรือเป็น 1 ใน 3 นักเตะที่ปฎิเสธลดเงินเดือนตามคำร้องขอจากบอร์ดบริหาร “ปืนใหญ่”
ข่าวนี้เรียกว่ามาแบบ “หายใจรดต้นคอ” ห่างเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลัง อาร์เซนอล แถลงการณ์ยืนยันว่าผู้เล่นในทีมชุดใหญ่ รวมถึง มิเกล อาร์เตต้า และสตาฟฟ์โค้ชบางส่วน ยินยอมที่จะลดค่าเหนื่อย 12.5% เป็นเวลา 1 ปี
งานนี้บอกเลยว่า “เสียงแตก” หลายคนออกมาด่าว่าดาวเตะหมายเลข 10 ว่าเรื่องเยอะ เรื่องมาก นักเตะคนอื่นๆ ในทีมที่ค่าเหนื่อยน้อยกว่ายังไม่ทำตัวมีปัญหากับสโมสรเลย
ในรายของ เพียร์ส มอร์แกน พิธีกรชื่อดังชาวอังกฤษ ที่เป็นแฟนบอล อาร์เซนอล ถึงขั้นสบถใส่แบบรุนแรง โดยยังระบุว่านักเตะรายนี้ “เห็นแก่ตัว และน่าอับอายมากๆ”
แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ค่อนข้างเห็นใจ เพราะมองว่าเหตุและผลของดาวเตะด๊อยซ์ลันด์พอฟังขึ้น และในชีวประวัติเจ้าตัวก็ไม่ใช่นักเตะที่เห็นแก่เงินแบบน่าเกลียด
เห็นประเด็นตรงนี้บอกเลยว่าน่าสนใจมากๆ โอซิล ผิดหรือไม่ ที่ปฎิเสธลดค่าเหนื่อย เราลองมาลำดับเรื่องราวแบบมีที่มาที่ไปดูกัน ว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้ควรจะสรุปเยี่ยงไร
วิกฤติลูกหนังจากโควิด-19
แม้จะยังมีบางลีกที่แข่งขันอยู่แต่โดยภาพรวมแทบจะทุกลีกบนโลกตอนนี้หยุดชะงักแบบไร้กำหนด อย่างพรีเมียร์ลีกก็หยุดมาตั้งแต่ 14 มีนาคม นับจนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 1 เดือนกับอีก 1 อาทิตย์พอดิบพอดี
พอไม่มีแมตช์แข่ง แน่นอนมันส่งผลกระทบต่อรายได้ในทุกภาคส่วน อย่างฝ่ายจัดการแข่งขันถ้ากลับมาแข่งขันต่อไม่ได้ก็เตรียมปวดหัวกับค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดได้เลย งานนี้ต้องชดใช้กันหัวบานแน่ เนื่องจากขายเป็นแพ็คทั้งซีซั่นไปก่อนแล้ว
ทางด้านสโมสรก็ต้องคืนค่าบัตรเข้าชมให้กับแฟนบอล หากบทสรุปคือต้องเล่นแบบปิดสนามหากกลับมาแข่งต่อได้ ซึ่งมูลค่าที่ถูกตีไว้สูงถึง 177 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
ดังนั้นไม่ใชเรื่องแปลกที่ทุกทีมต้องการลดต้นทุน ทีมใหญ่ๆ อย่าง ลิเวอร์พูล หรือ สเปอร์ส ตอนแรกก็เลือกสั่งพักงานลูกจ้างบางส่วน ซึ่งสโมสรจะจ่ายค่าเหนื่อยแค่ 20% ส่วนอีก 80% รัฐบาลอังกฤษจะดูแลแต่จ่ายสูงสุดไม่เกิน 2,500 ปอนด์
แต่สุดท้ายทั้งสองทีมก็ทนกระแสวิจารณ์ไม่ไหว ต้องกลืนน้ำลายตัวเองยกเลิกแนวคิดนี้ไปในภายหลัง
ส่วนทีมเล็กๆ อย่าง เบิร์นลี่ย์ ที่ทางประธานสโมสร ไมค์ แกร์ริค ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่าหากลีกไม่กลับมาแข่งต่อ หรือไม่ชัดเจนในการแข่งขันซีซั่นหน้า พวกเขาจะถังแตกหมดเงินในเดือนสิงหาคมนี้
ไม่ใช่แค่ในอังกฤษ ที่เดือดร้อน อย่างอิตาลี นาโปลี ก็เป็นทีมแรกที่พักงานลูกจ้าง 30 คนเป็นเวลา 2 เดือน ขณะที่ล่าสุด ฟิออเรนติน่า ก็รุนแรงถึงขั้นเลิกจ้างพนักงานถึง 50 คน
ในส่วนของนักเตะก็มีข่าวมาตลอดเรื่องการลดค่าเหนื่อย อย่าง ยูเวนตุส โชว์สปิริตยกทีมเซฟเงินให้สโมสรได้ถึง 90 ล้านยูโรต่อปี โรม่า ก็ใจเด็ดไม่รับค่าจ้างเลยใน 4 เดือนที่เหลือของฤดูกาลนี้
ส่วนทีมเล็กทีมน้อยก็ตามสภาพ 1 เดือน 2 เดือน หรือลดเป็นเปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ว่ากันตามสภาพคล่อง
การลดค่าจ้างของ อาร์เซนอล
ทีม “ปืนใหญ่” กลายเป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีกที่มีประกาศยืนยันลดค่าเหนื่อยนักเตะอย่างเป็นทางการ โดยผู้เล่นและสตาฟฟ์โค้ชชุดใหญ่ จะถูกตัดค่าจ้างคนละ 12.5% ตลอด 12 เดือนจนถึงมีนาคมปีหน้า
งานนี้ไม่ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากหลังมีรายงานเมื่อสัปดาห์ก่อนว่านักเตะ อาร์เซนอล ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ ต้องเจรจานานถึง 10 กว่าจะลงตัว และเซฟเงินให้สโมสรในช่วงวิกฤติได้ประมาณ 25 ล้านปอนด์ต่อปี
โดยภายใต้ข้อตกลงครั้งนี้มีเงื่อนไขที่นักเตะจะได้เงินคืน โดยแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อหลักดังนี้
1.ได้คืนเต็มจำนวนพร้อมโบนัส 100,000 ปอนด์ หากทีมได้ตั๋วไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก ภายใน 2 ฤดูกาลหลังนี้
2.ได้ 7.5% หากทีมได้ไปเล่นใน ยูฟ่า ยูโรป้าลีก
3.แต่ถ้าไม่สามารถไปเล่นในเวทียุโรปได้ จะไม่ได้คืนแม้แต่บาทเดียว
4.หากมีนักเตะที่ถูกขายทำกำไร นักเตะคนนั้นจะได้เงินที่หักคืน
อาร์เซนอล คือทีมใหญ่ที่สถานะการเงินค่อนข้างดี เรียกว่าทำกำไรได้แทบทุกปี เพิ่งจะมาขาดทุนในช่วง 1-2 ปีหลังที่พลาดไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก (ล่าสุดยืนยันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ขาดทุน 27.1 ล้านปอนด์)
ค่าตั๋วในแต่ละเกมพวกเขาก็แพงที่สุดในพรีเมียร์ลีก ไหนจะเงินลงทุนซื้อนักเตะที่ค่อนข้างประหยัด บวกกับค่าเหนื่อยนักเตะที่เรียกว่าถูกเลยถ้าเทียบกับทีมใหญ่ในระดับเดียวกัน
ดังนั้นดูจากความเดือดร้อนน่าจะมีทีมอื่นเข้าตาจนมากกว่า อย่างน้อยๆ ก็ เบิร์นลี่ย์ หรือ สเปอร์ส ที่เพิ่งสร้างสนามใหม่มีหนี้สิ้นมากมาย เหมือนกับที่ อาร์เซนอล ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะผ่อนสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมหมด
คำถามคือทำไม อาร์เซนอล ถึงรีบขนาดนั้น พวกเขาช็อตเงินจริง ? หรือเป็นมาตรการรัดเข็มขัดจากบอร์ดบริหารที่ขึ้นชื่อว่าเค็มจัด เพราะเท่าที่ดูเงื่อนไขเหมือนจะออกแนวกระตุ้นนักเตะในทีมมากกว่าด้วยซ้ำ หลังผลงานในฤดูกาลนี้ไม่ค่อยดี
😇 “If I don’t share my money now, when will I?”
❤️️ @MesutOzil1088 really is one of football’s good guys! pic.twitter.com/Gsuyrq9Ubq
— The Sun Football ⚽ (@TheSunFootball) April 21, 2020
เหตุผลของ โอซิล
ตามการวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศระบุว่า เมซุต โอซิล ไม่ใช่ไม่ให้ความร่วมมือกับสโมสร แต่เจ้าตัวมองว่าตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้คือเลื่อนจ่ายค่าจ้างไปก่อน
ประเด็นสำคัญในมุมของ โอซิล คือยังไม่รู้ว่าสโมสรได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งมันยังวัดผลไม่ได้ในตอนนี้ ต้องรอสรุปการเงินอย่างน้อยๆ เป็นรายไตรมาส หรือ 6 เดือนดูก่อนถึงจะรู้ได้ว่ายอดติดลบของต้นสังกัดแค่ไหน
หลังจากนั้นค่อยมาคุยกันว่านักเตะและสตาฟฟ์ในทีมจะช่วยยังไงได้บ้าง จะปรับลดแค่ไหนถึงจะเหมาะสม เมื่อมีตัวเลขมายืนยันมันก็ได้ค่ากลางที่แฟร์สำหรับทุกฝ่าย
เรื่องความหน้าเงินก็ไม่น่าใช่ เพราะที่ผ่านมามีข่าวว่าคู่สามีภรรยาตระกูล โอซิล ก็มีการบริจาคช่วยเหลือสังคมมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่าตัดของเด็ก 1,000 คนตอนที่แต่งงานกัน หรือย้อนไปเมื่อปี 2014 ก็เคยบริจาคเงิน 240,000 ปอนด์ช่วบค่าผ่าเด็ก 23 คนที่บราซิล มาแล้ว
ดังนั้นเงิน 12.5% จากคนที่ได้รับค่าเหนื่อย 350,000 ต่อสัปดาห์ ไม่น่าใช่ปัญหาสำคัญที่ทำให้เจ้าตัวต่อต้านสโมสรในครั้งนี้ ที่สำคัญบทสุดท้ายเจ้าตัวก็ให้ความเคารพเพื่อนร่วมทีมยอมเข้ารวมกับเสียงส่วนใหญ่
สรุป – ในมุมของผู้เขียนซึ่งเป็นแฟนคลับของ อาร์เซนอล เข้าใจถึงความจำเป็นของสโมสรอยู่ แต่ดูเงื่อนไขที่ออกมาต้องบอกว่าไม่แปลกใจที่ตอนแรกนักเตะ ปืนใหญ่ ไม่เห็นด้วย ส่วนเคสของ โอซิล ก็มองว่าเจ้าตัวไม่ได้ผิดอะไรเลย แนวคิดของเขามีขั้นมีตอน ไม่ได้ขัดแย่งแบบไร้เหตุผล
ที่สำคัญเจ้าตัวเหมือน “แพะรับบาป” เพราะข่าวบอกมี 3 คนแต่ระบุชื่อแค่ โอซิล คนเดียว อีก 2 คนที่ไม่ถูกพูดถึงลอยตัวสบายใจเฉิบ ปล่อยให้เขาถูกกระทืบกลางสี่แยกอยู่คนเดียว แบบนี้เหมือนป้ายยากันชัดๆ ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย