ก่อนหน้านี้มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นในวงการฟุจบอลไทย หลังทางฝั่ง หนองบัว พิชญ เอฟซี ได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับ ศราวุธ มาสุข แบบสายฟ้าแล่บ หลังอดีตแข้งดีกรีทีมชาติไทย ชุดแชมป์อาเซียนคัพ 2 สมัย หายตัวไปอย่างไร้ล่องลอยเป็นเวลากว่า 1 เดือน ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า เจ้าตัวกำลังเผชิญกับปัญหาที่ในเรื่องนอกสนามที่ไม่ค่อยเป็นมืออาชีพเท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ตามล่าสุดจากการช่วยเหลือของทางฝั่งสมาคมฟุจบอลแห่งประเทศไทย ศราวุธ มาสุข ได้ออกมาปรากฏตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเผยถึงสาเหตุที่เขาเองหายหน้าไปกว่า 1 เดือน นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้รับโอกาสครั้งใหม่ในการย้ายไปอยู่กับ เชียงใหม่ เอฟซี สโมสรในศึก ไทยลีก 2 เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเองเป็นหนที่สอง
แน่นอนว่าการได้รับโอกาสแก้ตัวไม่ใช่สิ่งที่หลายคนจะได้กันมาง่ายๆ ในโลกของฟุตบอลเองก็เช่นกัน บางครั้งผู้เล่นหลายคนได้รับโอกาสแก้ไขปรับปรุงในสิ่งที่ตัวทำผิดพลาด และอีกคนหลายคนก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั่นเลย
วันนี้เราจะขอพาไปดูกันว่า ที่ผ่านมาเคยมีนักเตะไทย รายไหนกันบ้าง ที่ได้ทำผิดพลาดมาแล้วในช่วงชีวิตอาชีพการค้าแข้งของตัวเอง ก่อนกลับตัวกลับใจยอมรับสิ่งที่ตัวเองกระทำ พร้อมได้รับโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง
อาทิตย์ ดาวสว่าง
ย้อนกลับไปในปี 2016 อดีตกองหลังดีกรีทีมชาติไทย ชุดแชมป์ ซีเกมส์ 2 สมัย ตกเป็นประเด็นข่าวฉาวมาแล้ว หลังเจ้าตัวโดนหญิงสาวรายหนึ่งออกมาแฉว่า เธอเคยถูกชวนไปที่บ้านพักของนักเตะรายนี้ ก่อนที่แข้งรายดังกล่าวพยายามหว่านล้อม และลากขึ้นไปบนห้องนอน แต่หญิงสาวไม่เล่นด้วย พร้อมกับโทรให้เพื่อนของเธอมารับกลับออกไปทันที
หลังจากนั้นไม่นาน อาทิตย์ ดาวสว่าง ออกมายอมรับภายหลังว่า เขาเองด่า และตะคอกใส่สาวคนดังกล่าวจริง แต่ไม่ขอยอมรับเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าพยายามฉุดกระชากขึ้นห้องนอนของตนเอง
นอกจากนี้ “เจ้าแบ็ค” ยังเคยถูกแฉเกี่ยวกับกรณีขอยืมเงินหญิงสาวอีกรายกว่า 230,000 บาท และไม่ยอมคืน จนกระทั่งเกิดเป็นข่าวใหญ่โต ก่อนที่อดีตนักเตะ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ได้ติดต่อขอคืนเงินทั้งหมดในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นข่าวฉาวของ อาทิตย์ ดาวสว่าง เริ่มลดลงเรื่อยๆ และเจ้าตัวกลับมาโชว์ผลงานบนสนามได้ดีอีกครั้งกับ สุพรรณบุรี เอฟซี ในศึก โตโย้ตา ไทยลีก เมื่อซีซั่น 2019 ที่ผ่านมา ก่อนถูกดึงตัวมาอยู่กับ ตราด เอฟซี ฤดูกาลนี้
เจนรบ สำเภาดี
ทีมชาติไทย ผงาดคว้าแชมป์ ซีเกมส์ 2017 อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเอาชนะเจ้าภาพ มาเลเซีย 1 – 0 ในเกมนัดชิงชนะเลิศที่สนาม ซาห์ อลาม ซิวเหรียญทองสมัยที่ 16 มาครองได้สำเร็จ
ทว่าหลังจบทัวร์นาเมนต์ได้แค่วันเดียวเท่านั้น ประเด็นดราม่าก็เกิดขึ้นทันที หลังแฟนบอลรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความวิจารณ์ฟอร์มการเล่นของ เจนรบ สำเภาดี ในแมตช์ดังกล่าว ซึ่งเขาเป็นผู้ทำประตูชัยให้ทีมในนัดนี้ด้วย ก่อนที่เจ้าตัวออกมาโต้ตอบด้วยการคอมเมนต์ว่า “ทำไมไม่มาเล่นละมีปัญญาไหมหรือได้แค่นี้ หรือแค่กัดเค้าไปทั่ว” พร้อมกับไล่ให้แฟนบอลรายดังกล่าวเลิกไร้สาระ และเอาเวลาไปเก็บขยะช่วยสังคมดีกว่า
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนบอลจำนวนมาก เกี่ยวกับการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของ “เจ้าเจน” ไม่นานหลังจากนั้นอดีตดาวรุ่งตัวเก่ง บีอีซี เทโรศาสน ได้ออกมาโพสต์ขอโทษเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับน้อมรับทุกคำแนะนำ เพื่อที่จะได้นำไปพัฒนาฝีเท้าของตัวเองต่อไป
“ผมต้องขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยครับ เป็นเพราะผมขาดการยับยั้งชั่งใจจนทำให้เหตุการณ์บานปลาย”
“ผมอารมณ์ร้อน ด้วยความที่จริงจังและทุ่มเทกับฟุตบอลมาก จนตอบโต้ไปด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ แต่ผมจะขอปรับปรุงตัวครับ”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำทุกอย่าง ผมจะนำไปปรับปรุงและแก้ไขเพื่อพัฒนาตัวเองให้เกิดประโยชน์แก่ทีมชาติไทยต่อไปครับ”
หลังจากนั้น เจนรบ สำเภาดี สามารถยกระดับการเล่นของตัวเองได้เรื่อยๆ ก่อนถูกดึงไปอยู่กับทีมใหญ่อย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อปี 2018 และย้ายอีกครั้งมาเล่นให้สโมสรแกร่ง การท่าเรือ เอฟซี ในฤดูกาลที่ผ่านมา
สรรวัชญ์ เดชมิตร
เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา กับกรณีที่ สรรวัชญ์ เดชมิตร กองกลางตัวเก่ง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ดันไปต่อยท้องผู้ตัดสินในเกม โตโยต้า ไทยลีก 2019 นัดที่พวกเขาบุกเสมอกับ การท่าเรือ เอฟซี 1 – 1 ซึ่งจากจังหวะดังกล่าวทำให้เจ้าตัวถูกใบแดงไล่ออกจากสนามทันที พร้อมกับโดนคณะกรรมการพิจารณาวินัย และมารยาท ตัดสินโทษห้ามลงสนามเป็นเวลา 6 เกม
หลังจากนั้นไม่นาน สรรวัชญ์ เดชมิตร ได้ออกมาโชว์สปิริตด้วยการขอถอนตัวจากทีมชาติไทย ที่กำลังเตรียมทีมเพื่อลงเล่นในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ครั้งที่ 47 ทันที เนื่องจากเจ้าตัวไม่อยากเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีในสนามให้กับแข้งรุ่นน้อง หรือนักเตะเยาวชนที่มีเขาเป็นต้นแบบการเล่นฟุตบอล นอกจากนี้ยังถือเป็นการยอมรับความผิดจากสิ่งที่เขาเองได้กระทำลงไปด้วย
หลังพ้นโทษแบน “เจ้าแคมป์” กลับมาเป็นแกนหลักสำคัญของทัพ “แข้งเทพ” อีกครั้งในซีซั่นนี้ และลงสนามให้ทีมไปแล้ว 3 เกม จาก 4 นัดแรกของศึกไทยลีก 2020 พร้อมยิง 1 ประตู กับทำอีก 1 แอสซิสต์ ให้กับทีม
นพพล พลคำ
กองกลางพันธุ์ดุจาก โปลิศ เทโร ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่เคยตกเป็นประเด็นดราม่าใหญ่โตกับแฟนบอลมาแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังทีมชาติไทย กระเด็นตกรอบแรกในศึกฟุตบอลเอเชียนเกมส์ 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่ง นพพล พลคำ คือหนึ่งในนักเตะที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากสุดเกี่ยวกับผลงานการเล่นที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง
โดยภายหลังจากที่ทัพ “ช้างศึก” ตกรอบในรายการดังกล่าว “เจ้าเป้” ได้โพสต์รูปตัวเองในสีเสื้อทีมชาติไทย พร้อมกับแคปชั่นว่า “พยามยามที่สุดของที่สุดแล้ว #thailandu23 #เอเชี่ยนเกมส์2018” ทว่าหลังจากนั้นแฟนบอลรายหนึ่งได้เข้ามาคอมเมนต์บนรูปภาพดังกล่าวด้วยถ้อยคำที่รุนแรง “ถ้าเล่นได้แค่นี้ก็ให้คนอื่นเล่นเหอะ ไม่ไหวก็ถอยอย่าดัน คนเชียร์เขาก็เหนื่อยเหมือนกัน” เป็นเหตุให้ นพพล ถึงกับฟิวส์ขาดสุดๆ พร้อมกับตอบโต้ด้วยข้อความสั้นๆ ว่า “ทักมา”, “โทรมาครับ”, “โทรมาหาผม ไม่ต้องเพื่อนผม”
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุด นพพล พลคำ ได้ออกมากล่าวขอโทษที่ตนเองพูดจาไม่สุภาพ ซึ่งเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ และความเครียดเกี่ยวกับเรื่องผลงานที่ย่ำแย่ของตัวเอง
ปัจจุบันแข้งวัย 23 ปี ค้าแข้งอยู่กับ สมุทรปราการ ซิตี้ ซึ่งผลงานโดยรวมของเจ้าตัวถือว่ายอดเยี่ยมไม่น้อยเลยทีเดียว
ปกรณ์ เปรมภักดิ์
ปีกตัวเก่งดีกรีทีมชาติไทย ของ การท่าเรือ เอฟซี อย่าง ปกรณ์ เปรมภักดิ์ มักจะตกเป็นเป้าหมายโจมตีเกี่ยวกับเรื่องฟอร์มจากแฟนบอลของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา
กระทั่งเมื่อซีซั่น 2019 ปกรณ์ เปรมภักดิ์ ได้สร้างประเด็นดราม่าครั้งใหญ่กับแฟนบอลของทีมตัวเอง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในแมตช์ที่ การท่าเรือ เอฟซี เปิดบ้านเสมอกับ ชลบุรี เอฟซี 2 – 2 ซึ่งระหว่างเกมมีจังหวะที่ “เจ้าบอย” ไม่ยอมวิ่งตามไปเก็บบอลที่กำลังจะออกเส้นหลังสนาม ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองไม่ได้อยู่ห่างจากลูกเท่าไหร่นัก ส่งผลให้แฟนบอล “สิงห์เจ้าท่า” ถึงกับส่งเสียงโหจนเกิดเป็นการปะทะคารมกันขึ้น ขณะเดียวกันกล้องถ่ายทอดสดดันจับภาพขณะที่เจ้าตัวแสดงพฤติกรรมท้าทายแฟนบอลด้วยการกวักมือเรียกให้ลงมาในสนาม พร้อมกับภาษาปากที่อ่านออกมาได้ประมาณว่า “พูดxวยไร แน่จริงxึงลงเล่นเอง” ไว้ได้อย่างชัดเจน
ท้ายที่สุด ปกรณ์ เปรมภักดิ์ ได้กล่าวขอโทษแฟนบอล การท่าเรือ เอฟซี ผ่านทางเฟสบุ๊คส่วนตัวด้วยการโพสต์ข้อความว่า “เหตุการณ์วันนี้ ผมยอมรับผิดทั้งหมด ผมผิดผมขอโทษครับ ถ้ามีคำคำไหนที่มีความหมายที่มากกว่าคำว่าขอโทษผมขอใช้คำคำนั้น ขอโทษแฟนบอลทุกคน และขอโทษพี่แป้งด้วยครับ ที่ควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีพอ”
หลังจากนั้น อดีตแข้งทัพ “ช้างศึก” ชุดแชมป์ ซีเกมส์ 2 สมัย สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งในฤดูกาลนี้ ด้วยการลงสนามครบทั้ง 4 เกมแรก ศึก โตโยต้า ไทยลีก 2020 พร้อมกับยิงไปแล้ว 1 ประตู
ศุภชัย ใจเด็ด
กองหน้าดาวรุ่งตัวเก่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่าง ศุภชัย ใจเด็ด ได้รับบทเรียนสำคัญในอาชีพการค้าแข้งของเขาเองมาแล้ว ภายหลังจากที่เจ้าตัวเคยเกิดอาการนอตหลุดระหว่างเกม ก่อนตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ปล่อยหมัดทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพคาสนามโดยเจตนา
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเกมที่ทีมชาติไทย บุกไปแพ้เวียดนาม ศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2020 รอบคัดเลือก เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งแมตช์ดังกล่าวเป็นทางฝั่งของทัพ “ดาวทอง” เอาชนะไปได้แบบขาดลอย 4 – 0 ทว่าสิ่งที่ถูกหลายคนพูดถึงมากสุดคงหนีไม่พ้นจังหวะ ศุภชัย ใจเด็ด ซึ่งโดนผู้เล่นทีมตรงข้ามตามประกบ และขัดจังหวะการเล่นตลอดทั้งเกม จนถึงขั้นที่ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการหัวเสีย ก่อนตัดสินใจพลาดกำหมัดต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของผู้เล่นอีกฝ่าย เป็นเหตุให้ผู้ตัดสินจำเป็นต้องควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที
ท้ายที่สุด “เจ้าอาร์ม” ออกมายอมรับผิดในสิ่งที่เขาเองได้กระทำลงไป พร้อมกับยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนล้ำค่า และพร้อมที่พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ศุภชัย ใจเด็ด ยังถือเป็นหนึ่งในนักเตะคนสำคัญของทัพ “ปราสาทสายฟ้า” และเพิ่งลงสนามเป็นแกนหลักให้กับทีมไทย ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2020 เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วย
ธีราทร บุญมาทัน
ธีราทร บุญมาทัน ถือเป็นหนึ่งในนักเตะไทย ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ณ เวลานี้ แต่หากหลายคนยังจำได้ดี เขาคือผู้เล่นที่เคยถูกใบแดงไล่ออกจากสนามถึง 2 เกม ติดต่อกัน ในรอบ 2 วัน กับการลงเล่นให้กับทีมชาติไทย 2 ชุด มาแล้ว
ย้อนกลับไปปี 2011 ธีราทร บุญมาทัน ในวัยแค่เพียง 20 ปี ได้รับโอกาสส่งลงสนามเกมสำคัญให้กับทีมชาติไทย นัดบุกเยือน ซาอุดิอาระเบีย ศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ซึ่งแมตช์นี้เจ้าตัวถูกผู้ตัดสินที่ค่อนข้างเปาเอนเอียงไปทางฝั่งเจ้าบ้านเป็นพิเศษ แจกใบแดงไล่ออกจากสนามจากจังหวะที่ผู้เล่นทั้งสองทีมเกิดการชุลมุนปะทะคารมกันในสนาม ท้ายที่สุดเกมดังกล่าวจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของทัพ “ช้างศึก” ด้วยสกอร์ 3 – 0
ทว่าฝันร้ายของ “เจ้าอุ้ม” ยังไม่จบลงเท่านี้ หลังโดนใบแดงกับทีมชาติชุดใหญ่ในศึกบอลโลกรอบคัดเลือกได้เพียงแค่ 2 วัน ธีราทร จำเป็นต้องเดินทางมาช่วยทีมชาติไทย ชุด U23 ในศึก ซีเกมส์ 2011 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ต่อทันที ซึ่งเขาถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย ที่พบกับเจ้าภาพ “อิเหนา” และประวัติศาสตร์ก็ซ้ำลอยอีกครั้ง หลังอดีตแบ็คซ้ายเอเชียของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ดันไปโดน 2 ใบเหลืองง่ายๆ ในช่วงต้นเกมก่อนเปลี่ยนเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม ทั้งที่การแข่งขันเพิ่งเริ่มไปได้แค่เพียง 12 นาทีเท่านั้น ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทีมชาติไทย แพ้ อินโดนีเซีย ไปด้วยสกอร์ขาดลอย 3-1 ตกรอบแรกรายการดังกล่าวเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
จากสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลให้ ธีราทร บุญมาทัน โดนแฟนบอลวิจารณ์อย่างหนัก จนถึงขั้นที่เขาเคยคิดจะเลิกเล่นทีมชาติมาแล้ว แต่หลังจากนั้นภายใต้การปลุกปั้นของ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำให้ ธีราทร กลับมาอยู่ในเส้นทางการค้าแข้งที่ยอดเยี่ยมของตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับเดินหน้ากอบโกยความสำเร็จทั้งในนามสโมสร และทีมชาติ ก่อนก้าวขึ้นมาถึงจุดสูงสุดบันทึกประวัติศาสตร์กลายเป็นนักเตะไทย คนแรก ที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอล เจ ลีก ได้สำเร็จกับ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส เมื่อฤดูกาล 2019 ที่ผ่านมา