กักไม่อยู่ : 10 ดีลที่ปล่อยนักเตะแบบโง่ๆ

 

ทุกๆสโมสรต่างมีนักเตะคนสำคัญประจำทีมที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนๆนั้นเลือกอยู่กับทีมต่อไปหรือหาทางป้องกันไม่ให้ใครมายุ่มย้ายคว้าตัวไปร่วมทีมดื้อๆ

 

แต่ก็มีไม่น้อยที่สโมสรกลับเป็นฝ่ายยอมปล่อยดาวเด่นคนดังออกไป ด้วยเหตุผลต่างๆมากมาย ทว่าท้ายที่สุดแล้ว กลับเป็นพวกเขาเสียเองที่ต้องเสียใจกับการกระทำครั้งนั้นของตัวเอง เมื่อนักเตะประสบความสำเร็จกับทีมใหม่ หรืออาจทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกว่าเดิมด้วยซ้ำ

 

และนี่คือ 10 ดีลในวงการลูกหนังที่ปล่อยแข้งคนสำคัญออกจากทีมไปแบบไม่ควรปล่อย จนต้องเป็นฝ่ายช้ำใจเสียเอง

 

 

เอริค คันโตน่า | ลีดส์ ยูไนเต็ด > แมนยูไนเต็ด

 

 

กองหน้าอารมณ์ศิลปิน เป็นหนึ่งในแข้งคนสำคัญที่พาลีดส์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 1991-92 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเปลี่ยนพรีเมียร์ลีกในปีถัดมา แต่ ฮาเวิร์ด วิลกินสัน กุนซือของนกยูงทองในตอนนั้นไม่เชื่อว่าแค่การขาดหายไปของคนๆเดียวจะมีผลกระทบต่อทีมมากมาย

 

“เอริค ชอบทำในสิ่งที่ตัวเขาอยากทำ และจากนั้นก็ช่างแม่งมัน” วิลกินสัน กล่าว

 

เรื่องสุดช็อคที่ตามมาคือการปล่อย ก็องโต้ ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมคู่อริ แม้เขาจะทำประตูไป 11 ลูกใน 20 นัดของฤดูกาลที่ได้แชมป์

 

นับตั้งแต่นั้น ปีศาจแดงในมือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เปลี่ยนไป และครองความยิ่งใหญ่ในฟุตบอลอังกฤษนานกว่า 2 ทศวรรษในเวลาต่อมา ขณะที่ ลีดส์ ก็ไม่เคยคว้าแชมป์อะไรได้อีกเลย นับตั้งแต่นั้น

 

 

อันเดรีย ปีรโล่ | เอซี มิลาน > ยูเวนตุส

 

 

“ผมคิดว่านั่นเป็นการเซ็นสัญญาแห่งศตวรรษเลย” จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน กล่าวหลังจากที่ ยูเวนตุส คว้า อันเดรีย ปีร์โล่ จาก เอซี มิลาน แบบไร้ค่าตัวในปี 2011

 

แม้จะปิดฉากในถิ่น ซาน ซีโร่ ด้วยแชมป์เซเรียอาในปีนั้น แต่หลายคนก็คิดว่า กองกลางชาวอิตาเลี่ยน คงไม่มีพิษส่งอะไรให้เห็นกับทีมม้าลายแล้ว

 

ทว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามกับที่หลายคนคิดไว้ เมื่อ ปีร์โล่ ประสานงานในแดนกลางกับ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ้ และ อาร์ตูโร่ วิดัล ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมกับทำไป 13 แอสซิสต์ในลีกช่วยให้ เบี่ยงโคเนี่ กลับมาครองความยิ่งใหญ่ในลีกเลี่ยนอีกครั้งในปี 2012

 

ไม่เพียงแค่่นั้น เพราะตลอด 4 ปี ของปีร์โล่ในสีเสื้อม้าลาย เขาพาทีมคว้าแชมป์เซเรียอาได้ 4 ฤดูกาลติดด้วย

 

 

เควิน เดอ บรอยน์ | เชลซี > โวล์ฟสบวร์ก 

 

 

ด้วยลีลาที่โดดเด่นเกินผู้เล่นในวัยเดียวกันก็เพียงพอที่จะให้ เชลซี คว้า เควิน เดอ บรอยน์ จากเกงค์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคมปี 2012

 

แต่ย้ายมาเล่นในอังกฤษไม่ทันไร เขาก็ถูกปล่อยให้ทีมเก่ายืมไปใช้งานทันที จากนั้นก็ปล่อยให้ แวร์เดอร์ เบรเมน ยืมตัวในฤดูกาล 2012-13 แต่จำนวน 10 ประตูจาก 34 นัดที่เพลย์เมกเกอร์แก้มแดงทำได้ ก็ไม่เพียงพอในสายตา โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือสิงห์บลูในตอนนั้น ก่อนจะขายขาดให้กับ โวล์ฟสบวร์ก ในปี 2014

 

18 เดือนใน บุนเดสลีก้า เดอ บรอยน์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนฟอร์มไปเข้าตา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งยอมควักเงินในคลังเพื่อคว้าไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 55 ล้านปอนด์ในปี 2015 ก่อนจะพัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นกองกลางระดับโลก ภายใต้การดูแลของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในเวลาต่อมา

 

 

ยาป สตัม | แมนยูไนเต็ด > ลาซิโอ้

 

 

ด้วยดีกรีกองหลังระดับท็อปของยุโรป, พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยติด หรือ ทริปเบิ้ลแชมป์อันเลื่องชื่อในปี 1999 รวมถึงเป็นผู้นำคนสำคัญหลังจากที่ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ลาทีมไป นี่คงเป็นเรื่องบ้าแน่ๆ หากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปล่อย ยาป สตัม ออกไปจากทีม

 

อย่างไรก็ตาม หลังเล่นในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ 3 ฤดูกาล แมนยูก็ขาย กองหลังชาวดัตช์ให้กับ ลาซิโอ้ ด้วยค่าตัวเพียง 16 ล้านปอนด์ เนื่องจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่พอใจกับหนังสืออัตชีวประวัติที่ สตัม ทำออกมา

 

และนั่นกลายเป็นหนึ่งในการตัดสินที่ผิดพลาดที่สุดของ เฟอร์กี้ ในอาชีพกุนซือ เพราะ สตัม ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมระดับสูงกับ ตลอด 5 ปีที่ค้าแข้งในอิตาลี และเกือบคว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 2 ของตัวเอง กับ เอซี มิลาน แล้ว หากไม่เจอช็อตปาฏิหารย์ของ ลิเวอร์พูล ในอิสตันบูลเสียก่อน

 

 

ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ | อินเตอร์ มิลาน > ลิเวอร์พูล

 

 

ครั้งหนึ่ง ราฟาเอล เบนิเตซ เคยยกย่อง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ อย่างมั่นใจว่า เขาจะกลายเป็นอนาคตของ อินเตอร์ มิลาน หลังย้ายมาร่วมทีมงูใหญ่ในปี 2010 แต่เมื่อ กุนซือชาวสแปนิช ถูกปลดออกจากตำแหน่ง แข้งชาวบราซิลเลี่ยน ก็ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามเท่าไหร่ จนชื่อค่อยๆเงียบหายไปพักใหญ่

 

แต่เมื่อ คูตี้ ถูกขายให้ ลิเวอร์พูล ในราคาเพียง 8.5 ล้านปอนด์ ในปี 2013 เขาพัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นตัวรุกที่อันตรายเป็นอันดับต้นๆในพรีเมียร์ลีก ก่อนที่อีก 5 ปีต่อมา เขาจะย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่าด้วยค่าตัว 142 ล้านปอนด์ 

 

ถ้ารู้ว่าจะขายได้ราคาขนาดนี้ บางทีอินเตอร์น่าจะเก็บ คูตินโญ่ ไว้ใช้งานต่อไป

 

 

แซร์จ นาบรี้ | อาร์เซน่อล > แวร์เดอร์ เบรเมน

 

 

แซร์จ นาบรี้ เป็นอีกหนึ่งแข้งเยาวชนที่ อาร์เซน เวนเกอร์ ดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ให้ อาร์เซน่อล ในปี 2012 และเคยถูก เวสต์บรอมวิช ยืมไปใช้งานในฤดูกาล 2015-16 

 

แต่ โทนี่ พูลิส นายใหญ่ เดอะ แบ็กกี้ส์ ในตอนนั้น ไม่เชื่อว่า ปีกชาวเยอรมัน มีความสามารถหรือความพร้อมที่จะลงเล่นให้ทีมได้ และส่งสนามเพียงเกมเดียวเท่านั้นในศึกลีกคัพ

 

เมื่อบวกกับ โอกาสลงเล่นที่น้อยนิดกับสโมสรต้นสังกัด ทำให้ นาบรี้ ปฏิเสธสัญญาใหม่จาก ปืนใหญ่ และเลือกกลับไปเล่นในบ้านเกิดกับ แวร์เดอร์ เบรเมน ในปี 2016 แทน

 

แม้ ปีกเมืองเบียร์ จะไม่ได้ระเบิดฟอร์มตั้งแต่ปีแรกใน บุนเดสลีก้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ นาบรี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ทีมดังจากลอนดอนเหนือ คิดผิดที่ไม่ยอมเชื่อใจเขา และกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของ บาเยิร์น มิวนิค จนพาทีมคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้ไปเรียบร้อย

 

 

ชาบี อลอนโซ่ | ลิเวอร์พูล > เรอัล มาดริด

 

 

นอกเหนือจาก เฟร์นานโด ตอร์เรส และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แล้ว ชาบี อลอนโซ่ ยังเป็นแข้งลิเวอร์พูลอีกคนที่ช่วยให้ทีมเกือบคว้าพรีเมียร์ลีกสมัยแรกได้สำเร็จในปี 2009 แต่ไม่มี เดอะ ค็อป คนไหนคิดว่าทีมรักจะขายกองกลางคนสำคัญของทีมไปในซัมเมอร์ปีนั่น

 

มิดฟิลด์ชาวสแปนิช บอกลาถิ่น แอนฟิลด์ เพื่อย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ และกลายเป็นตัวหลักช่วยให้ราชันชุดขาวครองความยิ่งใหญ่ในสเปนและยุโรปได้ในหลายปีต่อมา แต่ทีมเก่าของเขาในตอนนั้นมีสภาพแตกต่างจากทีมรองแชมป์ลีกผู้ดีอย่างสิ้นเชิง

 

หงส์แดง จบอันดับที่ 7 ในตาราง ส่งผลให้ ราฟาเอล เบนิเตซ โดนเด้งจากตำแหน่ง แต่ที่แย่ไปกว่านั้น ตำแหน่งของ อลอนโซ่ กลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่ใครๆก็มาทดแทนไม่ได้ และบางทีถ้า ลิเวอร์พูล ไม่ขาย อลอนโซ่ ไป พวกเขาอาจจะคว้าแชมป์ลีกตั้งแต่ปีนั้นแล้วก็เป็นได้

 

 

เคราร์ด ปิเก้ | แมนยูไนเต็ด > บาร์เซโลน่า

 

 

แมนยูไนเต็ด สวมบทบาทเป็นเสือปืนไวด้วยการคว้า เคราร์ด ปิเก้ จากบาร์เซโลน่า มาร่วมทีมตั้งแต่ปี 2004 พร้อมกับเซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกกับปีศาจแดงด้วยความหวังว่าเขาจะกลายเป็นอนาคตของทีมในวันข้างหน้า

 

แต่ตลอดเวลา 4 ปี ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ลงสนามเพียง 12 นัดเท่านั้น แม้จะทำผลงานได้ดีกับ เรอัล ซาราโกซ่า ได้ค่่อนข้างดีในสัญญายืมตัว แต่การมีอยู่ของ เนมานย่า วิดิช และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ทำให้โอกาสขึ้นไปเป็นตัวหลักในสโมสรมีไม่มาก

 

ในที่สุด ยูไนเต็ด ที่คว้าปิเก้ มาแบบฟรีๆ ก็ปล่อยให้ บาร์ซ่า สโมสรเก่าในสเปนดึงตัวกลับไปด้วยค่าฉีกสัญญาเพียง 5 ล้านปอนด์ แต่นั่นกลับกลายเป็นราคาที่โคตรคุ้มสำหรับอาซูลกราน่า เมื่อเขามีส่วนช่วยให้ทีมคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้ตั้งแต่ปีแรกใน คัมป์ นู และกลายเป็นตัวหลักในแผงหลังของ บาร์ซ่า จนถึงปัจจุบัน

 

 

หลยุส์ ฟิโก้ | บาร์เซโลน่า > เรอัล มาดริด

 

 

การที่ หลุยส์ ฟิโก้ เลือกย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไปเล่น เรอัล มาดริด โดยตรงด้วยค่าตัว 62 ล้านยูโร เมื่อปี 2000 ถือเป็นหนึ่งในการย้ายทีมที่ชวนช็อคมากที่สุดในวงการลูกหนัง 

 

แม้จะ บาร์ซ่่า จะไม่ต้องการขายนักเตะให้คู่แข่งมากแค่ไหน แต่เมื่อ โลส บลังโกส ยอมทุ่มทุนจ่ายค่าฉีกสัญญาจนทำให้ ดาวเตะชาวโปรตุกีส เป็นแข้งที่มีค่าตัวที่สูงที่สุดในโลก ณ ตอนนั้น บวกกับ นักเตะก็ไม่มีปัญหาที่จะย้ายทีม ก็จนปัญญาที่ทีมจากแคว้นกาตาลุนญ่าจะหยุดยั้งดีลนี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้

 

ฟิโก้ ช่วยให้ ราชันชุดขาวคว้าแชมป์ลาลีก้าได้ตั้งฤดูกาลแรกใน เบอร์นาเบว ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างทีมกาลาติกอส ของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ในเวลาต่อมา ขณะที่ฝั่งบาร์ซ่าที่เสียแข้งคนสำคัญก็จบฤดูกาลแบบมือเปล่าต่อไปอีก 4 ปี

 

 

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ | เรอัล มาดริด > ยูเวนตุส

 

 

ระหว่างปี 2009-2018 คือช่วงเวลาที่ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด แย่งชิงความเป็นเบอร์หนึ่งในสเปนได้ดุเดือดที่สุด และในขณะเดียวกันก็เป็นการแย่งแข้งเบอร์หนึ่งในวงการฟุตบอลของ ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ด้วย

 

การมาของ CR7 ทำให้ ราชันชุดขาว กลับมามีระดับใกล้เคียงกับ บาร์ซ่า อีกครั้ง พร้อมกับทำสถิติต่างๆมากมาย เช่น ยิงประตูมากที่สุดในสโมสร (450 ลูก), ดาวซัลโวตลอดกาลของแชมเปี้ยนส์ลีก (129 ลูก) รวมทั้งยังช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลาลีก้า 2 สมัย และแชมป์ยุโรปอีก 4 สมัยด้วย

 

หลังจากใช้งานจนคุ้มราคา 94 ล้านยูโร มาดริด ก็ตัดสินใจปล่อย โรนัลโด้ ให้ ยูเวนตุส ไปในราคา 100 ล้านยูโร ในฤดูกาล 2018-19 ซึ่งพาม้าลายครองความยิ่งใหญ่ในอิตาลีได้ต่อไป

 

ขณะที่ เรอัล มาดริด หลังไร้เงาของ ดาวยิงแดนฝอยทองในฤดูกาลนั้น ฟอร์มของทีมแย่ลงอย่างน่าใจหาย ทั้งหมดลุ้นแชมป์ลีกตั้งแต่ไก่โห, ร่วงบอลยุโรปด้วยน้ำมือของ อาแจ็กซ์ ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายหรือ แพ้ให้กับทีมบ๊วยอย่าง ราโย บาเยกาโน่ จนต้องดึง ซีเนดีน ซีดาน กลับมาเป็นกุนซือเพื่อกอบกู้ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง