อดทดรอไม่ไหว : 10 นักเตะที่เชลซี ปล่อยตัวไปแจ้งเกิดกับทีมอื่น

 

กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันไม่น้อยกับดาวรุ่งที่ เชลซี ไปดึงตัวมาอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่ยังโชว์ฟอร์มไม่คุ้มค่าตัวที่สูงถึง 70 ล้านปอนด์ แต่ทาง แฟรงค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ของทีมก็ยังคงออกมาปกป้องแข้งรายนี้ และยืนยันว่าต้องให้เวลากับนักเตะ ไม่อยากให้พลาดเหมือนในกรณีของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ทีมเลือกปล่อยไปเกิดกับทีมอื่น

 

วันนี้ UFA ARENA จะพาไปดูว่าที่ผ่านมา ทัพสิงห์บลู ทำผิดพลาดในการปล่อยตัวนักเตะอนาคตไกลออกไปแจ้งเกิดกับทีมอื่นไปมากน้อยแค่ไหนกัน กับ 10 นักเตะที่เชลซี ปล่อยตัวไปแจ้งเกิดกับทีมอื่น

 

มาริโอ ปาซาริซ

กองกลางดาวรุ่งชาว โครเอต ถูกดึงตัวมาจาก ไฮจ์ดุ๊ค สปลิท ทีมในบ้านเกิด มาสู่ถิ่น สแตมฟอร์ดบริดจ์ เมื่อช่วงปี 2014 ก่อนจะปล่อยยืมไปให้กับ เอลเช่ ยืมตัวทันที ซึ่งหลังจากนั้นทัพ สิงห์บลู ก็ปล่อยแข้งรายนี้ยืมตัวไปกับหลายทีมไม่ว่าจะเป็น โมนาโก , เอซี มิลาน , สปาร์ตัก มอสโก และ อตาลันต้า 

 

ซึ่งผลงานของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ อตาลันต้า ขึ้นมาได้ไกลถึงอันดับ 3 ของตาราง ด้วยการลงสนามไป 42 นัด ยิง 8 ประตู 6 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ แต่ทาง ยอดทีมจากลอนดอน ก็ไม่ได้สนใจจะใช้งานเขาแต่อย่างใด สุดท้ายก็ปล่อยตัวเขาออกมาให้กับ ทัพเทพธิดา แบบถาวรเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่กับ เชลซี นับเป็นเวลากว่า 6 ปี เขาไม่เคยได้ลงสนามให้กับทีมในเกมทางการเลยแม้แต่นัดเดียว

 

แพททริค แบมฟอร์ด

หัวหอกชาวอังกฤษถูกดึงมาจาก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ตั้งแต่อายุ 18 ปี แต่ชะตากรรมก็เหมือนกับนักเตะอายุน้อยคนอื่นๆที่ถูกดึงตัวมา เขาถูกดึงตัวมาเมื่อต้นปี 2012 และ ปล่อยยืมไปให้กับ เอ็มเค ดอนส์ ยืมตัวช่วงปลายปีเดียวกัน

 

ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่อยู่กับทีม เขาถูกปล่อยยืมไปอยู่กับทั้ง ดาร์บี้ เคาท์ตี้ , มิดเดิลสโบรห์ , คริสตัล พาเลซ , นอรช ซิตี้ , เบิร์นลี่ย์ ก่อนจะปล่อยตัวถาวรไปให้กับ มิดเดิลสโบรห์ ในปี 2017 และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีม จนถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด ดึงตัวไปร่วมทัพเมื่อปี 2018/19 มาจนถึงปัจจุบัน

 

ซึ่งการมาที่ ยูงทอง เขาได้มาร่วมงานกับ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ยอดกุนซือในโลกลูกหนัง พาทีมขึ้นมาลุ้นเลื่อนชั้น แม้ในปีแรกเขาจะช่วยทีมเลื่อนชั้นไม่ได้ แต่ในปีต่อมา เขาก็สามารถพาทีมเลื่อนขึ้นมาโลดแล่นบนเวที พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลปัจจุบัน ส่วนกับ เชลซี เขาไม่เคยลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เลยสักนัด

 

แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์

เด็กปั้นจากค่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ถูกดึงตัวมาที่ เชลซี เมื่อปี 2009 ซึ่งเจ้าตัวก็ได้รับโอกาสลงสนาไปถึง 96 นัด ยิง 24 ประตู รวมทุกรายการ แต่ด้วยในเวลานั้นพวกเขามียอดดาวยิงอย่าง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยืนเป็นหัวหอกตัวหลักอยู่แล้ว การเบียดขึ้นมาเล่นให้ สิงห์บลู จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอยู่ในฐานะ อะไหล่สำรอง

 

สุดท้ายก็เป็น ลิเวอร์พูล ที่มารับช่วงต่อไปในปี 2013 นั่นทำให้เขาได้กลายเป็นตัวหลักของทีม และยังได้จับคู่กับ หลุยซ์ ซัวเรซ กลายเป็นคู่หู SAS ที่เกือบพาหงส์สมหวังกับแชมป์ลีกเมื่อปี 2013/2014 ซึ่งเขาสามารถยิงไปได้มากถึง 22 ประตูในลีก 

 

แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่ตามรบกวนเขาเป็นเงาตามตัวทำให้ฝีเท้าของเขาไปได้ไม่สุดกว่านี้ จนสุดท้ายก็ปล่อยไปให้กับ เวสต์บรอมวิช ยืมตัวในปี 2018 และปล่อยฟรีไปให้กับ แทร็บซอนสปอร์ ในปีถัดมา

 

โรเมลู ลูกากู

นับเป็นกรณีเดียวกันกับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่ไม่สามารถขึ้นมาเบียดแย่งตัวจริงไปจาก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ได้จนสุดท้ายก็ต้องถูกปล่อยตวออกไป โดยดาวเตะชาว เบลเยี่ยม ถูกดึงตัวมาจาก อันเดอร์เลชท์ ในปี 2011 และเขาเองก็ถูกปล่อยยืมไปให้กับ เวสต์บรอมวิช ในปีถัดมา

 

ซึ่งทาง สิงห์บลู ก็หมายมั่นปั้นมือที่จปั้นเขาขึ้นมาให้ได้เทียบเท่า ดร็อกบา และให้โอกาสลงสนามไปทั้งหมด 15 นัด แต่เขาดนยิงประตูไม่ได้เลยสักประตูเดียว สุดท้าย เชลซี ก็หมดความอดทนขายเขาออกไปให้กับ เอฟวอร์ตัน ในปี 2013 โดยเป็นการย้ายแบบยืมตัว ก่อนจะปล่อยไปแบบถาวรในปี 2014

 

โดยที่ทัพทอฟฟี่ นี้เองที่ทำให้เขาแจ้งเกิดแบบเต็มตัว จากการได้เป็นตัวหลักของทีมด้วยผลงานการันตีที่ 87 ประตู จาก 166 นัดรวมทุกรายการ ด้วยพละกำลัง และร่างกายที่สูงใหญ่ ส่งให้เขาได้เปรียบนักเตะคนอื่นๆ แม้ต่อมาจะได้ย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ดันไปได้ไม่สวยนัก จนต้องย้ายไปเกิดใหม่อีกครั้ง กับ อินเตอร์ มิลาน จนถึงปัจจุบัน

 

เนมันย่า มาติช

แม้ว่าภาพจำของกองกลางรายนี้จะเป็นนักเตะกองกลางของเชลซีในช่วงปี 2014-2017 แต่ก่อนหน้านี้ สิงห์บลูคว้าตัวเขามาจาก โคชิเซ่ ตั้งแต่ปี 2009 แล้ว แต่ก็ได้ลงสนามให้ทีมไปแค่ 3 นัดเท่านั้น ก่อนจะถูกปล่อยยืมไปให้กับ วิเทสส์ ยืมตัว และส่งไปให้กับ เบนฟิก้า เพื่อเป็นการแลกตัวกับ ดาวิด ลุยซ์เมื่อปี 2011

 

ซึ่งการได้ไปอยู่กับทีมจากโปรตุเกส ทำให้เขามีโอกาสลงสนามมากขึ้น และได้ลงไปมากถึง 98 นัด ยิง 9 ประตู จน สิงห์บลู หันกลับมามอง และดึงตัวเขากลับไปอยู่กับทีมจนถึงปี 2017 โดยลงสนามให้ทีมไปถึง 151 นัด ยิง 7 ประตู 19 แอสซิสต์รวมทุกรายการ ถือว่าเป็นการฝากให้ทีมอื่นปั้นก็ว่าได้

 

นาธาน อาเก้

กองหลังที่ถูกตั้งความหวังว้ว่าจะเป็นตัวหลักของทัพ สิงห์บลูในอนาคต หลังอยู่กับทีมมาตั้งแต่เป็นเยาวชนในปี 2011 ก่อนจะถูกดันสู่ทีมชุดใญ่ในปี 2013 แต่ก็เหมือนกับคนอื่นๆ เพราะเขาก็ถูกปล่อยยืมไปให้ เรดดิ้ง , วัตฟอร์ด ก่อนจะไปเกิดเต็มตัวกับ บอร์นมัธ ในปี 2016 จนถึงกับที่ทาง บอร์นมัธ ขอซื้อขาดในปีถัดมาทันที

 

ซึ่งที่ บอร์นมัธ เจ้าตัวได้ลงสนามไปมากถึง 121 นัด รวมทุกรายการ เป็นตัวหลักสำคัญให้กับทีม แม้ในปีสุดท้ายของเขากับทีมจะทำผลงานได้ไม่ดีนักและต้องตกชั้นไป แต่มันก็ทำให้เขาได้ก้าวไปอยู่กับทีมใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้จะไม่ใในฐานะตัวหลัก แต่ก็โอกาสลงสนามไปแล้วทั้งหมด 9 นัด

 

ติโบต์ กรูตัวร์

นายทวารชาวเบลเยี่ยม ถูก สิงห์บลู ดึงตัวมาจากทีมในบ้านเกิดเมื่อปี 2011 แต่ในเวลานั้นทีมมีมือกาวตัวหลักอย่าง ปีเตอร์ เช็ค อยู่แล้ว ทำให้ ชะตากรรมของเขาก็ไม่แตกต่างจากดาวรุ่งคนอื่นๆที่ถูกดึงมา เพราะเขาก็ถูปล่อยต่อไปให้กับ แอตเลนติโก มาดริด ยืมตัวในทันที

 

ซึ่งที่ทัพตราหมีน้เองที่มอบโอกาสให้เขา โดยการปล่อยยืมตัวในครั้งนี้ เชลซี เลือกปล่อยยืมไปให้ยืมนาน 3 ปีเต็มๆ ส่งให้เขาได้เฝ้าเสาไปทั้งหมด 154 นัด และเมื่อกลับมาสู่ถิ่น สแตมฟอร์ดบริดจ์ เขาก็สามารถยืนเป็นตัวจริงให้กับทีมในทันที ก่อนจะได้กลับมาที่ สเปน อีกครั้ง แต่เป็นกับ เรอัล มาดริด เล่นเอาทั้งแฟนบอล เชลซี และ แอตฯมาดริด สาปส่งไม่เผาผีกันเลยทีเดียว

 

อาร์เยน ร๊อบเบน

นับเป็นคนที่น่าเสียดายไม่น้อยสำหรับแฟน สิงห์บลู ที่ในปี 2004 พวกเขาสามารถไปปาดแย่งปีกดาวรุ่งวัย 20 ปีมาก่อน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ซึ่งด้วยพรสวรรค์ ที่มีมาตั้งแต่ตอนนั้นทำให้เขาถูกคาดหวังไว้สูง ซึ่งดาวเตะชาวดัตช์ เองก็สามารถถทำผลงานได้ไม่น้อยหน้าคนอื่นๆในทีม 

 

แต่ด้วยอาการบาดเจ็บ และความฟิตที่ไม่พร้อมเท่าไรนัก ทำให้แม้ว่าเขาจะโชว์ฟอร์มได้ดี และไม่เคยถูกปล่อยยืมเลย แต่สุดท้ายหลังผ่านไป 3 ปี ทีมดังจากลอนดอนก็ตัดสินใจปล่อยตัวเขาไปให้กับ เรอัล มาดริด และไปเปรี้ยงปร้างกับ บาเยิร์น มิวนิคต่อไป ซึ่งในปัจจุบันแม้วัยจะล่วงเลยไปถึง 37 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงค้าแข้งอยู่กับ โกรนิงเก้น ในบ้านเกิด 

 

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์

ก่อนที่เขาจะมาเป็นสตาร์อยู่ที่ลิเวอร์พูล เขาเคยถูก เลซี ดึงตัวไปร่วมทัพเมื่อปี 2014 แต่ชะตากรรมของเขาก็ไม่ต่างจากคนอื่น โดยเริ่มส่งต่อไปให้กับ ฟิออเรนติน่า ยืมตัวในปีถัดมา ต่อด้วยโรม่า และที่ โรม่า นี้เองที่เป็นทีมที่ดึงตัวเขาไปจากอ้อมอก สิงห์บลูแบบถาวรในปี 2016

 

โดยกับทัพ หมาป่ากรุงโรม เขากดไปได้ถึง 34 ประตู จากการลงสนาม 83 นัด เรียกว่าเป็นการัฒนาฟอร์มแบบก้าวกระโดด จน ลิเวอร์พูล ตัดสินใจไปดึงตัวเขามาร่วมทัพเมื่อปี 2017 เป็นการคืนสู่เวที พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง 

 

แม้ว่าในคราวแรกจะมีคนตั้งแง่กับเขาเพราะเคยล้มเหลวในแดนผู้ดีมาแล้วกับ เชลซี แต่เขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ ที่นอกจากจะยึดตำแหน่งตัวจรจิงของทีมได้แล้ว เขายังเป็ส่วนสำคัญช่วยทีมคว้าทั้งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ พรีเมียร์ลีก ที่รอมานานกว่า 30 ปีได้สำเร็จ

 

เควิน เดอ บรอยน์

นับเป็นนัเกตะที่แฟนสิงห์เสียดายมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ สำหรับกองกลางทีมชาตืเบลเยี่ยมรายนี้ ซึ่งเชลซีไปคว้าตัวมาจาก เก้งค์ ในลีกบ้านเกิด แต่ด้วยวัยเพียง 20 ปี และพวกเขาไม่ใช่ทีมที่จะมาปั้นนักเตะเอง จึงปล่อยกลับไปใหทีมเดิมยืมตัว

 

แน่นอนว่าเมื่อเริ่มปล่อยยืมแล้ว พวกเขาไม่จบที่รอบเดียว เชลซี ปล่อยยืมตัวให้ แวนเดอร์ เบรเมน และสามารถทำผลงานได้ดีในเวทีบุนเดสลีกา จนไปเข้าตาของ โวล์ฟบวร์ก ที่ตัดสินใจดึงตัวเขาไปร่วมทีมแบบถาวรในปี 2014 ที่นี้เองที่เขาได้กลายเป็นยอดเพลย์เมคเกอร์ ที่กดไป 20 ประตู 37 แอสซิสต์ ตลอด 73 นัดรวมทุกรายการที่ลงสนามให้กับทีม

 

สุดท้ายเขาก็ได้กลับมาที่ลีกแดนผู้ดีอีกครั้ง แต่เป็นกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2015 และโด่งดังเปรี้ยงปร้างในฐานะเพลย์เมคเกอร์จอมแอสซิสต์ที่ เรือใบสีฟ้าขาดไปไม่ได้เลย ซึ่งในปัจจุบันเขา แอสซิสต์ไปให้เพื่อนแล้วทั้งหมด 104 ครั้ง จากการลงสนาม 245 นัดรวมทุกรายการ