ครบทุกรสชาติ : รวม 5 เหตุการณ์สุดน่าจดจำศึกมาดริด ดาร์บี้ 

 

มาดริด เป็นเมืองไม่กี่เมืองบนโลกนี้ที่มี 2 ทีมที่เป็นสโมสรที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของสเปน และยุโรป อยู่ร่วมเมืองกัน นั่นก็คือ เรอัล มาดริด กับ แอตเลติโก้ มาดริด 

 

แน่นอนว่าความสำเร็จของ ‘ตราหมี’ คงเทียบกับ ‘ราชันชุดขาว’ ไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลาลีก้า, บอลถ้วยในสเปน หรือแชมป์ยุโรป แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เกมดาร์บี้เมืองนี้ดุเดือดน้อยลงไปแต่อย่างใด

 

อีกทั้งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แอตฯมาดริด ไม่ได้เป็นฝ่ายตกอยู่ในร่มเงาของทีมร่วมเมืองอีกต่อไป หลังได้ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เข้ามาคุมทัพ และสร้างทีมให้ต่อกรกับทีมอริร่วมเมืองได้อย่างสมศักดิ์ศรี

 

ตลอด 226 นัดที่ทั้ง 2 ทีมพบกัน เต็มไปด้วยช่วงเวลาน่าจดจำมากมาย แต่หากนำมาบอกกล่าวทั้งหมดคงจะเยิ่นเย้อเกินไป UFA ARENA จึงขอคัดเลือก 5 เหตุการณ์โดดเด่นที่แฟนบอลทั้ง 2 ทีมน่าจะจดจำได้มากที่สุดจาก ศึกมาดริด ดาร์บี้ ผ่านบทความชิ้นนี้

 

ราอูล ตัวแสบของตราหมี | 1997

 

 

ราอูล กอนซาเลซ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในทีมเยาวชนของ แอตเลติโก้ มาดริด แต่ทว่า เฆซุส กิล ประธานสโมสรในยุค 90 ได้หั่นงบประมาณในทีมรุ่นเล็กของสโมสรเมื่อปี 1992 ส่งผลให้นักเตะดาวรุ่งหลายคนถูกปล่อยตัวออกจากทีม และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ ราอูล ด้วย

 

ทว่านั่นกลับกลายเป็นหนึ่งในสิ่งผิดพลาดที่ ‘ตราหมี’ เคยทำ เพราะหลังจากนั้นอีก 5 ปีต่อมา ราอูล ที่พวกเขาเคยปล่อยออกจากทีมในวัย 14 ปี เจิดจรัสแสงกับ เรอัล มาดริด สโมสรคู่อริร่วมเมือง จนกลายเป็นตำนานของทีมในเวลาต่อมา

 

โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นในฤดูกาล 1996-97 ที่ ราชันชุดขาว กำลังเบียดลุ้นแชมป์ลาลีก้า กับ บาร์เซโลน่า และดูเหมือนว่าจะเขาทางทีมจาก กาตาลัน เมื่อ ‘โลส บลังโกส’ โดนคู่อริร่วมเมืองยิงประตูขึ้นนำในเกมเดือนมกราคมปี 1997 

 

แต่ ราอูล กลับลงมาเหมา 2 ลูกในครึ่งหลังให้ทีมพลิกกลับมาขึ้นนำ ก่อนที่ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ จะกดประตูที่ 3 ให้ มาดริด ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ และคว้าถ้วยนี้ไปครองได้ในท้ายที่สุด

 

ตลอด 27 เกมที่ ราอูล ลงเล่นในเกมพบ แอตฯมาริด ทุกรายการ เขายิงไปทั้งหมด 11 ลูกกับ 6 แอสซิสต์ ชนะไปถึง 17, เสมอ 8 และ แพ้อีก 2 อีกทั้งเมื่อไหร่ก็ตามที่เขายิงได้ ทีมไม่เคยพบกับความปราชัยเลยให้ ‘ตราหมี’ แม้แต่หนเดียว

 

 

คำพูดปลุกใจของ อาราโกเนส | 1992

 

 

ย้อนกลับไปในช่วงที่ บาร์เซโลน่า ยุคโยฮัน ครัฟฟ์ ยังครองเบอร์หนึ่งในลีกสเปน และก่อนที่ แอตเลติโก้ มาดริด จะตกลงไปเล่น เซกุนด้า เกมมาดริด ดาร์บี้ ก็ยังคงดุเดือดอย่างที่เคยในเกมนัดชิงศึกโกปา เดล เรย์ ปี 1992

 

แม้ โลส บลังโกส จะดูเป็นต่อเหนือกว่าพอสมควร เนื่องจากได้เล่นใน ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว รังเหย้าของพวกเขา แต่ หลุยส์ อาราโกเนส กุนซือตราหมีในตอนนั้น เลือกที่จะกระตุ้นลูกทีมด้วยคำพูดที่ประหลาดพอสมควร จากคำบอกเล่าของ ยาค็อบ สไตน์เบิร์ก นักข่าวของ เดอะ การ์เดี้ยน

 

“เห็นขวดนี้มั้ย? เราจะยัดเข้าไปในก้นของพวกเขา แบบนี้เลย ลืมเรื่องแท็คติกไปซะ นี่คือ เรอัล มาดริด ในเบอร์นาเบว พวกเขาเล่นงานพวกเขาเรามานานแล้ว ตอนนี้มันคือโอกาสที่เราจะเอาคืนพวกนั่นบ้าง” กุนซือตำนานชาวสแปนิช กล่าว

 

ทว่าคำพูดปลุกใจเหล่านี้กลับได้ผลสุด ๆ เมื่อ แอต มาดริด ได้ประตูจากลูกฟรีคิกของ แบรนด์ ชูสเตอร์ และลูกปิดท้ายจาก เปาโล ฟูเตร่ ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยไปครอง

 

ขณะที่นั่นกลายเป็นอีกฤดูกาลที่ขมขื่นของ ‘โลส บลังโกส’ หลังบาร์ซ่า ได้ชูทั้งถ้วยลาลีก้า และ แชมป์ยุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

 

 

ดวลหนแรกในเกมยุโรป | 1959

 

 

ก่อนหน้าที่ทั้ง 2 ทีมพบกันในนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2014 และ 2016 เรอัล มาดริด และ แอตเลติโก้ มาดริด เคยพบกันในฟุตบอลยุโรปแค่หนเดียวเท่านั้น ในเกมรอบตัดเชือกของฤดูกาล 1958-59

 

ในตอนนั้น ‘ราชันชุดขาว’ ที่แชมป์คว้ายุโรปมา 3 สมัย เอาชนะไปได้ในเกมแรก 2-1 แต่ ‘ตราหมี’ ก็ไม่ยอมให้พวกเขาผ่านไปง่าย กลับมาเอาชนะ 1-0 จนได้สกอร์ร่วมเป็น 2-2 ในเกมที่ 2 ทำให้ต้องตัดสินเกมเพลย์ออฟนัด 3 ที่ ซาราโกซ่า

 

จริง ๆ แอตฯมาดริด คงไม่ได้เข้ามาเล่นในยุโรป ปีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะ คู่อริร่วมเมืองคว้าแชมป์ยุโรปและเป็นแชมป์เก่า ทำให้ ‘ตราหมี’ เป็นอีกหนึ่งตัวแทนประเทศสเปนที่ได้ลงเล่นฟุตบอลทวีป ฐานะทีมที่คว้ารองแชมป์ลีกฤดูกาลก่อน

 

แอตฯมาดริด พยายามสู้อย่างเต็มที่ในเกมที่ 3 ณ สนาม ลา โรมาเรด้า  แต่สุดท้ายก็พ่ายไปด้วยสกอร์ 2-1 ก่อนที่มาดริด จะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ยุโรป 4 สมัยติดในนัดชิงชนะเลิศ

 

 

คว้าแชมป์ในถิ่นคู่แข่ง | 2013

 

 

เมื่อ แอตเลติโก้ มาดริด พบกับ เรอัล มาดริดในศึก โกปา เดล เรย์ รอบชิงชนะเลิศที่ เบอร์นาเบวในปี 2013 ซึ่งครั้งสุดท้ายที่พวกเขาบุกมาชนะคู่อริร่วมเมืองถึงถิ่นต้องกลับไป 23 นัดก่อนในช่วง 14 ปีที่แล้ว หรือในปี 1999 ด้วยสกอร์ 3-1

 

ด้วยสถิติดังกล่าวทำให้ ราชันชุดขาว กลายเป็นตัวเต็งชูถ้วยแชมป์อย่างไม่ต้องสงสัย และก็ดูไม่น่ามีอะไรแปลก ๆ เมื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงให้ทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ขึ้นนำไปก่อน

 

แต่ นี่ไม่ใช่ ‘ตราหมี’ ยุคก่อน ๆ ที่เป็นลูกไล่ของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว หลังในยุคของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เขาพาทีมคว้าแชมป์ ยูโรป้า ลีก ในฤดูกาลก่อน และยังอัด เชลซี จนคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ มาครองด้วย

 

ดีเอโก้ คอสต้า ยิงประตูตีเสมอให้ทีมก่อนหมดครึ่งแรก แต่ในครึ่งหลังเกมของทั้ง 2 ทีมก็ยังสูสีอยู่ ทำให้ต้องตัดสินหาผู้ชนะไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

และในช่วง 30 นาทีเพิ่มเติม ตราหมี ก็มาได้ประตูชัยจากลูกยิงของ มิรานด้า กองหลังของ บราซิลเลี่ยน พร้อมกับคว้าแชมป์บอลถ้วยไปครอง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์เต็มตัว ร่วมกับ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ในเวลาต่อมา

 

 

ลูกโหม่งต่อชีวิตของรามอส | 2014

 

 

ในประวัติศาสตร์ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกไม่เคยมีทีมจากเมืองเดียวกันดวลแข้งกันในนัดชิงชนะเลิศมาก่อน อาจมีการพบกันจากสโมสรเดียวกันใน มิลาน, ลอนดอน หรือ มาดริด ในรอบก่อน ๆ แต่ไม่ใช่ในเกมสำคัญนี้ 

 

ดังนั้นเมื่อ เรอัล มาดริด และ แอตเลติโก้ มาดริด เข้ามาพบกันในนัดชิงที่กรุง ลิสบอน ปี 2014 จึงกลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์สำคัญที่เกิดขึ้นในวงการลูกหนัง

 

ทีมของ ซิเมโอเน่ ผงาดคว้าแชมป์ลาลีก้าไปครองในฤดูกาล 2013-14 และหวังคว้าดับเบิ้ลแชมป์จากบอลยุโรป ขณะที่ ‘โลส บลังโกส’ ที่ไม่ได้สัมผัสถ้วยบิ๊กเอียร์มานาน 12 ปี ก็หวังจะคว้าแชมป์นี้ให้ได้เพื่อลบความผิดหวังที่ชวดแชมป์ลีกเช่นกัน

 

ตลอดเกือบ 90 นาที ดูเหมือนว่า ‘ตราหมี’ จะเป็นฝ่ายที่กุมความได้เปรียบ และมีโอกาสคว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยแรก เมื่อ ดีเอโก้ โกดิน โหม่งทำประตูให้ทีมขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ครึ่งแรก และลากยาวจนกระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวสุดดราม่าก็เกิดขึ้น หลัง เซร์คิโก้ รามอส ขึ้นมาโหม่งทำประตูช่วยให้ มาดริด ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ และต้องดวลกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

ประตูของ รามอส นั้นทำให้ลูกทีมของ ซิเมโอเน่ แทบหมดกำลังใจ ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้เล่น ‘โลส บลังโกส’ ฮึกเหิมสุด ๆ ก่อนจะกดเพิ่ม 3 ประตูเอาชนะไปด้วยสกอร์ 4-1 คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 10 ไปครอง  

 

แม้ แอตฯมาดริด จะได้กลับมาแก้ตัวในรายการนี้อีก 2 ปีต่อมา พวกเขาก็ต้องเจอกับ คู่แข่งร่วมเมืองเป็นหนที่ 2 และอกหักพ่ายไปอีกครั้งในช่วงดวลจุดโทษชี้ขาด