แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เอซี มิลาน ถือเป็น 2 ทีมระดับท็อปในยุโรปที่เคยปะทะฝีเท้ากันมาแล้วหลายหน และพวกเขาก็จะดวลแข้งกันอีกครั้งในศึกยูโรป้า ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2020-21
นี่อาจเป็นพบกันครั้งแรกในรายการบอลยุโรปถ้วยเล็ก แต่ย้อนกลับไปในหลาย ๆ ปีก่อน ทั้งปีศาจแดง และ รอสโซเนรี่ เคยพบกันมาแล้วถึง 10 ครั้งในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือ ยูโรเปี้ยน คัพ ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1958 และพบกันครั้งสุดท้ายในปี 2010
และก่อนที่เกมนัดที่ 11 และ 12 ที่ทั้ง 2 ทีมจะพบกัน UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านไปย้อนระลึกถึงเกมสุดมันส์ระหว่าง มิลาน และ ยูไนเต็ด ที่เกิดขึ้น โดยคัดเลือก 5 เกมสำคัญที่แฟนบอลทั่วโลกน่าจะจดจำได้ไม่มีวันลืม
มิลาน 4-0 แมนยู | ยูโรเปี้ยน คัพ รอบตัดเชือก เลกสอง 1957-58
ย้อนกลับไปในปี 1958 เป็นช่วงที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เอซี มิลาน พบกันครั้งแรกในบอลยุโรป ซึ่งเกิดขึ้นในรอบรองชนะเลิศของ ยูโรเปี้ยน คัพ ฤดูกาล 1957-58 ซึ่งเป็นช่วงแฟนบอลหลายคนของทั้ง 2 ทีมอาจยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
ณ ตอนนั้นชื่อชั้นของ มิลาน ถือว่าไม่ธรรมดา เนื่องจากหลายคนยกให้เป็นทีมเบอร์ต้น ๆ ในอิตาลีเลย หลังคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 6 สมัย แต่ ปีศาจแดง ในมือของ เซอร์ แม็ตส์ บัสบี้ ก็ยอดเยี่ยมไม้แพ้กันกับแชมป์ลีกในฤดูกาล 1956-57 พร้อมขับเคลื่อนด้วยทีมพลังหนุ่มที่มีนักเตะดังในชุดนั้นอย่าง บิล โฟลคส์, เฟร็ดดี้ กู้ดวิน หรือ เดนนิส ไวโอเล็ต พร้อมช่วยให้เอาชนะไปได้ก่อนในเกมแรกที่ สกอร์ 2-1
อย่างไรก็ดี นักเตะของ รอสโซเรนี่ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็น ฮวน ชิอาฟฟิโน่ หรือ นีลส์ ลีด์โฮม ซึ่ง 2 คนมีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมถล่มทีมจากเกาะอังกฤษไปแบบหมดสภาพ 4-0 พร้อมผ่านเข้าไปรอบได้ด้วยสกอร์ 5-2
น่าเสียดายที่การเข้ารอบชิงครั้งแรกของ มิลาน ต้องพบกับความปราชัยแบบฉิวเฉียดต่อ เรอัล มาดริด สโมสรเบอร์หนึ่งของยุโรปในตอนนั้น ด้วยสกอร์ 3-2
แมนยู 0-1 มิลาน | แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกแรก 2004-05
ในฤดูกาล 2004-05 ที่ เอซี มิลาน ต้องพบกับความอกหักสุดชอกช้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ตลอดกาล พวกเขาฝ่าด่านทีมสุดแข็งแกร่งมากมาย ก่อนพบ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศ และหนึ่งในนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พบกันในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ทั้ง 2 ทีมพบกันด้วยความมั่นใจสุด ทางด้าน ปีศาจแดง ก็ชัยชนะติด 5 นัดในลีกเหนือทั้ง ลิเวอร์พูล คู่รักคู่แค้น, อาร์เซน่อล และ เพื่อนบ้านผู็น่ารำคาญอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขณะที่ มิลาน ก็คว้าชัย 4 นัดติดในเซเรียอา รั้งตำแหน่งจ่าฝูงของลีก ณ ตอนนั้น
ทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ปรับใช้แผนระบบ 4-5-1 เพื่อดวลกับ ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ทีวางหมาก 4-2-3-1 โดยวาง อันดรีย ปีร์โล่ เป็นตัวทำเกมจากแนวลึก อยู่ข้างหลัง กาก้า และ รุย คอสต้า 2 แนวรุกฟอร์มแรง พร้อมวาง เอร์นาน เครสโป เป็นหน้าเป้า
รอสโซเนรี่ ครองเกมได้แบบอยู่หมัด แม้ว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ไรอัน กิ๊กส์ และ เวย์น รูนี่ย์ พยายามหาจังหวะโต้กลับ แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะผ่าน อเลสซานโดร เนสต้า และ เปาโล มัลดินี่ เข้าไปทำประตูได้
ช่วงท้ายเกม รอย คาร์โรลล์ นายทวารของ ยูไนเต็ด รับลูกยิงนอกกรอบของ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ พลาด จนบอลกระดอนมาเข้าทาง เครสโป ที่ยืนอยู่ถูกที่ถูกเวลาแปเข้านิ่ม ๆ ในนาทีที่ 78 เป็นประตูชัยให้ มิลาน กุมความได้เปรียบในเกมแรกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก่อนที่ทีมจากอิตาลีจะผ่านเข้ารอบไปได้ หลังเอาชนะได้ในซาน ซีโร่ 1-0 สกอร์รวมเป็น 2-0
แมนยู 3-2 มิลาน | แชมเปี้ยนส์ลีก รอบตัดเชือก เลกแรก 2006-07
ผ่านไปอีก 2 ปี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้โอกาสกลับมาพบกับ มิลาน อีกครั้ง เพื่อหวังล้างตาจากตอนนั้นให้ได้ในตอนนั้น โดยทั้ง 2 ทีมพบกันในรอบรองชนะเลิศของฤดูกาล 2006-07
อันเช่ ปรับมาใช้แผน 4-4-1-1 วาง กาก้า เป็นเพลย์เมกเกอร์ทำเกม ขณะที่ เฟอร์กี้ ปรับเปลี่ยนแผนจาก 2 ปีก่อนพอสมควรกับระบบ 4-3-3 ที่ใช้ ไรอัน กิ๊กส์, เวย์น รูนี่ย์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็น 3 ตัวรุกทำประตู
นอกจากนี้ นี่ยังเป็นการวัดฝีมือระหว่าง เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ และ ดีด้า 2 ผู้รีกษาประตูเบอร์ต้น ๆ ในยุคนั้นว่าใครจะยอดเยี่ยมกว่ากันในการป้องกันประตู
ปีศาจแดงออกนำไปก่อนตั้งแต่ 5 นาทีแรกจากลูกโหม่งของ CR7 แต่หลังจากนั้นต่อมา กาก้า ก็เหมาคนเดียว 2 ลูกให้ รอสโซเนรี่ พลิกขึ้นนำเป็น 2-1 ตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก และหนึ่งในนั้นคือประตูสุดสวยที่ยกบอลหลบ กาเบรียล ไฮน์เซ่ ให้ไปชนกับ ปาทริซ เอวร่า จนหลุดเดี่ยวดวลกับ ฟาน เดอร์ ซาร์ ก่อนแปเข้าไปตุงตาข่าย
ทว่า รูนี่ย์ ก็ฉายแสงโดดเด่นเกินใครในช่วงครึ่งหลัง เมื่อซัดประตูตีเสมอในนาทีที่ 59 ให้ ยูไนเต็ด กลับมาอยู่ในเกมอีกครั้ง ก่อนจะรับบทเป็น ฮีโร่ ยิงประตูชัยในช่วงทดเวลาให้ทีมเอาชนะไปได้ 3-2 ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
อย่างไรก็ตาม แฟนบอลปีศาจแดง หารู้ไม่ว่าหายนะจะมาเยือนในเกมนัดต่อไปที่ ซาน ซีโร่
มิลาน 3-0 แมนยู | แชมเปี้ยนส์ลีก รอบตัดเชือก เลกสอง 2006-07
แม้เสีย 2 ประตูในบ้าน แต่ด้วยผลชนะก็ทำให้ ทีมของเฟอร์กี้ ได้เปรียบสุด ๆ มีลุ้นผ่านเข้าไปเล่นรอบชิงได้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ขอแค่ไม่แพ้ในเกมเลกสองเท่านั้น
แต่เชื่อว่าแฟนบอลยูไนเต็ด หลายคนที่ดูในเกมวันนั้นคงลืมชื่อของ ริคาร์โด้ กาก้า ไม่ลงแน่นอน หลังโชว์ฟอร์มเทพสุด ๆ แบบที่ไม่มีแนวรับของปีศาจแดงคนไหนต้านทานได้เลยในเกมนัดต่อมา
เฟอร์กี้ ใช้แผน 4-3-3 ตามสูตรเดิมจากเกมแรก ขณะที่ มิลาน เปลี่ยนมาใช้ระบบ 4-4-2 แบบไดมอนด์ โดยให้ กาก้า ยืนคู่กับ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ในแดนหน้า แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เล่นในลักษณะตัวรุกที่คอยสร้างสรรค์เกมมากกว่ายืนค้ำแบบ หอกทั่วไป
และเพลย์เมกเกอร์หน้าหล่อ ก็มาแผลงฤทธิ์ ตั้งแต่ต้นเกม และกดประตูแรกให้ มิลาน นำในเกมนั้น พร้อมเล่นงานเกมรับของทีมเยือนเรื่อยมา ก่อนที่ คราเรนซ์ เซดอร์ฟ และ อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ จะยิงเพิ่มให้ทีมเอาชนะไป 3-0 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศด้วยสกอร์ 5-3 พร้อมกับล้างตา ลิเวอร์พูล ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ในท้ายที่สุด
แมนยู 4-0 มิลาน | แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกสอง 2009-10
3 ปีต่อมา ทั้งคู่โคจรมาพบกันอีกครั้ง ในแชมเปี้ยนส์ลก รอบ 16 ทีมสุดท้าย และด้วยผลสกอร์เกมแรกที่ปีศาจแดงบุกมาคว้าชัยได้ถึง ซาน ซีโร่ เป็นครั้งแรก ด้วยสกอร์ 3-2 ตลอดการพบกันทั้งหมด ทำให้เกมเลกสองที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ความสนใจจากแฟนมากเป็นเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคิดว่าเกมนี้สกอร์จะออกมาขาดลอยขนาดนี้ และกลายเป็นการล้างแค้นที่ปีศาจแดงรอมาเนิ่นนาน โดยบุกดาหน้าเล่นงานเกมรับ มิลาน ตั้งแต่ช่วงแรกของการแข่งขัน และออกนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 13 จากลูกโหม่งของ เวย์น รูนี่ย์ ก่อนจะทิ้งห่างเป็น 2 ลูกตั้งแต่นาทีแรกของครึ่งหลังจากลูกยิงของ วาสซ่า คนเดิม
อีกคนที่โดดเด่นสุด ๆ ไม่แพ้ รูนี่ย์ ก็คือปาร์ค จี ซุง ผู้กดประตูที่ 3 ในเกม พร้อมตามติด อันเดรีย ปีร์โล่ เป็นเงา จนทำให้ กองกลางมิลานไม่สามารถออกบอลหรือขึ้นเกมได้ถนัด ก่อน ดาร์เรน เฟลทเชอร์ จะโหม่งปิดท้ายให้ทีมชนะไป 4-0 พร้อมผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์รวม 7-2
นอกจากชัยชนะครั้งนี้ที่แฟนบอลปีศาจแดงไม่มีวันลืมแล้ว อีกสิ่งที่พวกเขาจดจำได้ขึ้นใจคือการกลับมา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ เดวิด เบ็คแฮม อดีตปีกเท้าชั่งทองขวัญใจสาวก เร้ด เดวิลล์ แม้มาเยือนในฐานะคู่แข่งก็ตาม แต่ก็ยังได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากแฟน ๆ ในสนามไม่ต่างจากสมัยที่เขาแจ้งเกิดจนกลายเป็นดาวเตะก้องโลกเมื่อ 10 กว่าปีก่อน