เมื่อใดก็ตามที่นักฟุตบอลกระทำความผิด องค์กรที่ดูแลควบคุมการแข่งขันจะทำหน้าที่กำกับดูแล ตัดสินลงบทโทษ ซึ่งมากมายน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับระดับความผิดที่นักเตะกระทำ
การลงโทษมีตั้งแต่การปรับเงินขั้นพื้นฐาน หรือการแบนห้ามลงเล่นตามที่กำหนด ซึ่งต่อให้นักเตะเหล่านั้นจะย้ายไปค้าแข้งที่ประเทศอื่น ๆ หรือทวีปอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำความผิด บทลงโทษที่องค์กรลูกหนังตัดสินไว้ก็ยังมีผลต่อเนื่องอยู่ดี และจะกลับมาลงเล่นอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อครบเวลาที่กำหนดเท่านั้น
เมื่อเทียบกับกรณีคดีของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า กลับแตกต่างกันชัดเจน เมื่อศาลไทยตัดสินว่าให้ไม่พ้นสมาชิกภาพ ส.ส.และความเป็นรัฐมนตรี โดยระบุว่าแม้ศาลออสเตรเลียจะมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกธรรมนัสในคดียาเสพติดจริง แต่เป็นศาลออสเตรเลีย ไม่ใช่ศาลไทย จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี
UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านไปพบกับ 13 แข้งที่ถูกสั่งแบนห้ามลงเล่นในวงการฟุตบอล ไม่ว่าจะรายการไหนก็ตาม และยังมีผลอยู่ต่อให้ย้ายไปเล่นประเทศอื่น หรือทวีปอื่นก็ตาม
หลุยส์ ซัวเรซ
การกัดไม่ใช่สิ่งปกติที่ควรเกิดขึ้นในกีฬาฟุตบอล แต่สำหรับ หลุยส์ ซัวเรซ น่าจะเป็นอะไรที่แฟนบอลเห็นบ่อย ๆ จนชินตา และคงไม่แปลกใจว่าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัย ดาวเตะชาวอุรุกวัย เล่นกับ อาแจ็กซ์ รวมไปถึง ลิเวอร์พูล ซึ่งถูกแบนไป 7 และ 10 นัดตามลำดับ แต่ที่หนักสุดคือตอนที่เขาก่อเรื่องกัดไหล่ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ปราการหลังทีมชาติอิตาลี ในฟุตบอลโลกปี 2014 จนถูกฟีฟ่าลงดาบห้ามมีส่วนเกี่ยวข้องกับฟุตบอลทุกรายการ เป็นเวลา 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม บาร์เซโลน่า ที่ให้ความสนใจในตัวของ ซัวเรซ ก็ยังอยากได้ตัวกองหน้าจอมกัดไปร่วมทีมเช่นเดิม แม้รู้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถใช้งานนักเตะได้ในช่วงแรกของฤดูกาล 2014-15 ก็ตาม ก่อนที่ ซัวเรซ จะตอบแทนความไว้ใจของสโมสร ระเบิดฟอร์มจนช่วยให้ บาร์ซ่า คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาลนั้น
ดีเอโก้ มาราโดน่า
อดีตกองหน้าระดับตำนานของทีม “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา เคยโดน ฟีฟ่า ตัดสินห้ามเล่นฟุตบอลนาน 15 เดือน ในปี 1991 หลังจากตรวจพบว่าเขาเสพโคเคนในประเทศอิตาลี และถูกส่งกลับบ้านในศึกฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา ทั้งที่ลงเล่นไปเพียง 2 นัดเท่านั้น
โดย ‘เสือเตี้ย’ ถูกตรวจพบใช้สารกระตุ้น หลังจบเกมที่ อาร์เจนตินา ชนะ ไนจีเรีย 2-1 และนั่นถือเป็นการลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้าย รวมไปถึงในนามทีมชาติของ มาราโดน่า อีกด้วย
และหลังจากที่พ้นโทษแบน มาราโดนา ก็ไปเล่นให้กับทีม เซบีย่า ในสเปนอีก 1 ปี ก่อนกลับไปเล่นในบ้านเกิดกับทีม นีเวลล์ โอลด์บอย และปิดท้ายด้วยการย้ายกลับบ้านเก่าอย่างทีม โบคา จูเนียร์ พร้อมประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1997
คีแรน ทริปเปียร์
ถึงย้ายไปเล่นในสเปน กับ แอตเลติโก้ มาดริด แต่ คีแรน ทริปเปียร์ ก็ไม่รอดพ้นโดนบทลงโทษ จาก เอฟเอ หลังทำผิดกฏการพนัน ฐานมีส่วนได้เสียกับการวางเดิมพันว่า เขาจะย้ายไปเล่นกับทีม ‘ตราหมี’ ในซัมเมอร์ปี 2019
บทลงโทษของ เอฟเอ ระบุไว้ว่า แบน 10 สัปดาห์ และปรับเงินอีก 7 หมื่นปอนด์ ก่อนที่ต้นสังกัดในแดนกระทิงจะอุทธรณ์โทษแบนกับ ฟีฟ่า เพื่อขอระงับโทษแบนชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าโทษแบนดังกล่าวมีผลเฉพาะรายการที่จัดการแข่งขันโดยเอฟเอเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดฟีฟ่าตัดสินใจไม่รับคำอุทธรณ์ของ แอตฯมาดริด ทำให้ ทริปเปียร์ หมดสิทธิ์ลงเล่นช่วยทีมตลอด 10 สัปดาห์ นับตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ ก่อนกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเดือนมีนาคม
เปาโล รอสซี่
ตำนานแข้งทีมชาติอิตาลีอย่าง เปาโล รอสซี่ ก็มีรอยด่างพร้อยในอาชีพค้าแข้งเช่นกัน หลังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีล้มบอล ‘โตโตเนโร่’ อันอื้อฉาวในปี 1980 จนถูกแบนจากวงการฟุตบอลเป็นเวลา 3 ปี และหมดสิทธิ์ช่วยทีมชาติลงเล่นในศึกยูโรในปีนั้นที่บ้านเกิดของเขาเป็นเจ้าภาพด้วย
เจ้าตัวพยายามทำทุกทางเพื่อพิสูจน์ว่าเขาบริสุทธิ์และเป็นเพียงเหยื่อของความอยุติธรรม แต่ก็ลบล้างได้บางส่วนจนเหลือโทษแบน 2 ปีเท่านั้น และถูกมองว่าเป็นพวกขี้โกงในสายตาแฟนบอลได้แล้วเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม รอสซี่ ก็สามารถกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาได้อีกครั้ง เมื่อเป็นคนสำคัญพา ‘อัซซูรี่’ ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1982 พร้อมตำแหน่งดาวซัลโวในทัวร์นาเม้นต์
อาเดรียน มูตู
จากดาวรุ่งที่หลายคนคาดว่าจะกลายเป็นตัวความหวังในทีมชาติโรมาเนีย ชีวิตของ อาเดรียน มูตู กลับหักเหอย่างหนักเมื่อย้ายมา เชลซี ในปี 2003 ที่ฟอร์มไม่ค่อยดีนัก แถมมีปัญหานอกสนามอีก
เรื่องราวยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก หลังการมาของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในปี 2004 ที่ปฏิเสธ หอกแดนผีดิบ ไม่ให้มีส่วนร่วมกับทีม เนื่องจากพฤติกรรมที่ชอบปาร์ตี้ ก่อนถูกสโมสรเชี่ยทิ้งในปีนั้น หลังตรวจพบสารเสพติดประเภทโคเคน ทำให้ถูก เอฟเอ ลงโทษแบนยาว 7 เดือน ก่อนย้ายไปดับสนิทกับ ยูเวนตุส ในปีต่อมา
มูตู ได้โอกาสอีกครั้งกับ ฟิออเรนติน่า ในปี 2006 และทำผลงานได้ดีไม่น้อย แต่ทว่าในปี 2010 ก็โดนแบน 9 เดือนหลังจากไม่ผ่านการตรวจโด๊ปครั้งที่ 2 ในอาชีพ ก่อนลดลงมาเหลือ 6 เดือนในเวลาต่อมา
แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์
นับตั้งแต่ลา ลิเวอร์พูล ชีวิตค้าแข้งของ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ ทั้งฟอร์มการเล่น และปัญหานอกสนาม หลังถูกแบนจากฟุตบอล 6 สัปดาห์ หลังลูกพี่ลูกน้องพนันว่าเจ้าตัวย้ายไปเล่นกับ เซบีย่า ในปี 2019
กองหน้าขาแดนซ์ พยายามไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับ แทรปซอนสปอร์ ในปี 2019 แต่คดีเก่าก็ตามมาราวีเขา เมื่อเอฟเอ พิจารณาความผิดใหม่ก่อนเพิ่มบทลงโทษแบนเป็นเวลา 4 เดือน ส่งผลทำให้เจ้าตัวตัดสินใจยกเลิกสัญญากับสโมสรจากตุรกี และกลายเป็นแข้งไร้สังกัดในเดือนมีนาคมปี 2020
ถึงพ้นโทษแบนมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีก่อนแล้ว แต่ สเตอร์ริดจ์ ก็ยังไร้สังกัดเรื่อย ๆ มาจนถึงปัจจุบัน
ริโอ เฟอร์ดินานด์
ริโอ เฟอร์ดินานด์ กำลังเข้าสู่จุดสูงสุดในชีวิตค้าแข้งหลังย้ายจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด มาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2002 ซึ่งมีส่วนให้ทีมคว้าแชมป์ลีกไปครองในปีนั้น
ทว่าในฤดูกาลต่อมา เขาหมดโอกาสลงเล่นให้ ‘ปีศาจแดง’ ตลอดครึ่งซีซั่น เนื่องจากไม่ได้เข้ารับการตรวจปัสสาวะหาสารกระตุ้นตามกำหนดในปี 2003 จนถูก เอฟเอ สั่งแบน 8 เดือน ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าตัวพลาดช่วยทีมชาติอังกฤษในศึกยูโร ปี 2004 ด้วย
นี่กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ เฟอร์ดินานด์ ไม่มีวันลืม และคงจดจำไปจนตาย รวมไปถึงนักเตะในอังกฤษที่ไม่มีใครลืมตรวจสารกระตุ้นอีกเลย นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เอริค คันโตน่า
เหตุการณ์สุดคลาสสิคที่แฟนบอลพรีเมียร์ลีกยุค 90 จดจำได้ขึ้นใจ เมื่อ เอริค คันโตน่า ที่โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม กระโดด ‘กังฟูคิ๊ก’ เต็มหน้าของ แมธทิว ซิมมอนส์ แฟนบอลคริสตัล พาเลซ ณ สนาม เซลเฮิร์ต ปาร์ค เมื่อปี 1995
นั่นเป็นเหตุให้ เอฟเอ สั่งแบน ก็องโต้ เป็นเวลา 9 เดือน ปรับเงิน 2 หมื่นปอนด์ พร้อมต้องทำงานบำเพ็ญประโยชน์สังคมเป็นเวลา 120 ชั่วโมง และการขาดหายไปของเขา ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเสียแชมป์ลีกให้กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในฤดูกาล 1994-95
เรื่องราวอาจผ่านมานานหลาย 10 ปีแล้ว แต่ตำนาน ‘ปีศาจแดง’ ก็พูดมาตลอดว่าไม่เคยเสียใจกับการกระทำในครั้งนั้นของตนเองเลย แถมดูเสียดายซะอีกที่ไม่ได้อัดแฟนบอลปากดีของ พาเลซ ให้หนักกว่านี้
มาร์ค บอสนิช
มาร์ค บอสนิช ไปไม่ถึงฝั่งฝันกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็จริง แต่ก็แย่ไม่เท่าที่ตอนที่เขาเล่นให้กับ เชลซี ซึ่งกลายเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดในฐานะนักฟุตบอลอาชีพเลย
นายทวารชาวออสซี่ เข้าสู่วงการยาเสพติดอย่างเต็มตัว จนชีวิตพังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนรอบข้าง ก่อนที่ สิงห์บลู จะเขี่ยพ้นทีม เมื่อตรวจโด็ปไม่ผ่านในปี 2002 พร้อมกับถูกแบนจากวงการลูกหนังเป็นเวลา 9 เดือน
บอสนิช ใช้เวลาถึง 5 ปี กว่าจะเลิกขาดจากโคเคน และกลับมาเล่นฟุตบอลอาชีพได้ โดยเล่นให้กับสโมสรใน เอลีก อย่าง เซ็นทรัล โคสต์ มาริเนิร์ส กับ ซิดนี่ย์ โอลิมปิก ก่อนแขวนถุงมืออย่างเป็นทางการในปี 2009
โจอี้ บาร์ตัน
อดีตกองกลางพันธุ์ดุเคยโดน เอฟเอ ลงดาบแบนยาวถึง 18 เดือน พร้อมกับถูกปรับเป็นเงินจำนวน 30,000 ปอนด์ ข้อหาเล่นการพนันฟุตบอลมาตลอดระยะเวลา 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2006-2016)
บาร์ตัน ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาแทงบอลมา 1,260 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยพนันทีมที่ตัวเองลงเล่นหรือทีมคู่แข่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนั้นยังโชว์ความใจเด็ดยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ด้วยการเอาโพยบอลออกมาโชว์ว่าไม่เคยพนันทีมตรงข้ามหรือทีมที่ตัวเขาเล่นอยู่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ทำให้เขารอดพ้นจากการโดนแบนในครั้งนั้น
นั่นเป็นเหตุให้ เบิร์นลี่ย์ แถลงการณ์ยกเลิกสัญญาของ บาร์ตัน ในปี 2017 ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดหลังจากนั้นทันที โดยปัจจุบัน เขาผันตัวมาอยู่ในเส้นทางกุนซือเต็มที่กับ บริสตอล โรเวอร์ส ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เดวิด เลย์น, โทนี่ เคย์ และ ปีเตอร์ สวอน
ย้อนกลับไปในฟุตบอลอังกฤษยุค 1960 ได้เกิดเรื่องอันอื้อฉาวขึ้น เมื่อสื่อในประเทศเผยว่ามีการล็อกผลการแข่งขันขึ้น โดยชี้ว่าผู้เล่นของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วย ก่อนพบว่ามีความผิดจริง รวมกับหลายสโมสร
นักเตะมากมายกว่า 10 คนถูกตัดสินให้จำคุก ส่วน 3 แข้งของทีม ‘นกฮูก’ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่าง เดวิด เลย์น, โทนี่ เคย์ และ ปีเตอร์ สวอน ถูกแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลตลอดชีวิต ก่อนที่จะลดโทษเหลือเพียง 7 ปีแทน
แต่อนาคตในอาชีพค้าแข้งก็หมดสิ้นลงตั้งแต่มีเอื่ยวกับการล้มบอล และไม่มีทางกลับมาได้เหมือนเดิมแล้ว ต่อให้ลดโทษเหลือไม่กี่ปีก็ตาม