เนเธอร์แลนด์ อาจทำผลงานได้ผิดหวังในยูโร 2020 ด้วยการพ่ายสาธารณรัฐเช็ก 2-0 ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแบบเหลือเชื่อ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีดาวเด่นที่ทำผลงานได้น่าประทับใจแบบที่ไม่มีใครคาดคิดเช่นกัน
เดนเซล ดุมฟรีส์ คือชื่อที่แฟนบอลหลายคนพูดถึง ยามได้ชมเกมของ ‘อัศวินสีส้ม’ ตั้งแต่เกมรอบแบ่งกลุ่ม ช่วยให้ทีมคว้า 9 คะแนนในกลุ่ม ซี พร้อมทั้งคว้าตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ มาครองถึง 2 นัดด้วย
วิงแบ็คชาวดัตช์ โหม่งประตูชัยในเกมเฉือน ยูเครน และยิงประตูที่ 2 ของตัวเองในทัวร์นาเม้นต์กับเกมอัด ออสเตรีย 2-0 ซึ่งถือเป็น 2 ประตูแรกของเจ้าตัวในสีเสื้อ ‘ออรันเย่’ นับตั้งแต่ติดทีมชาติครั้งแรกในปี 2018
ถึงท้ายที่สุด ทีมของ แฟรงค์ เดอ บัวร์ จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่สำหรับแข้งวัย 25 ปีแล้ว เขามาไกลกว่าที่ตนเองคิดเสียอีก หากย้อนกลับเมื่อ 7 ปีก่อนหน้านี้ที่เขากำลังเล่นฟุตบอลระดับสมัครเล่น และติดทีมชาติเล็กๆที่ไม่มีชื่อเสียงด้านลูกหนังเลยอย่าง อารูบา
และนี่คือเส้นทางของ ดุมฟรีส์ ดาวรุ่งผู้ที่เคยถูกมองข้าม แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นแข้งที่ได้รับการจับตามองจากสโมสรทั่วยุโรปเรียบร้อย
ถูกเปรียบกับ บิตคอยน์
กองหลังจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น มีข่าวกับ เอฟเวอร์ตัน แต่หลังจากโชว์เด่นในทัวร์นาเม้นต์ยูโร ชื่อของ อินเตอร์ มิลาน และ บาเยิร์น มิวนิค กับเขา ก็โผล่มาให้เห็นในหน้าสื่อมากขึ้น
La Gazzetta dello Sport สื่อหนังสือพิมพ์จาก อิตาลี ได้เปรียบเทียบ ดุมฟรีส์ กับสกุลเงินดิจิตอลอย่าง บิตคอยน์ อย่างน่าสนใจว่า “ในตอนแรกไม่มีใครเชื่อมั่น แต่คุณควรลงทุนกับมันดีกว่า”
“นั่นเป็นการเปรียบเทียบที่ตลกดีนะ” ดุมฟรีส์ กล่าวพลางหัวเราะออกมา ขณะนั่งอยู่ในโต๊ะแถลงข่าว
“โคดี้ กั๊กโป (เพื่อนร่วมทีมพีเอสวี) เคยสอนผมเรื่องบิตคอยน์ครั้งหนึ่ง ผมขายมันไปบ้างแล้ว ผมไม่คิดว่ามันจะไปได้ดีในตอนนี้”
“บางครั้งคุณได้ยินว่า บิตคอยน์ ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว หวังว่ามันจะไม่ร่วงต่ำลงมาสำหรับผมนะ”
เป้าหมายที่ดูใหญ่เกินตัว
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ดุมฟรีส์ ไม่ได้รับแต่คำชมเพียงอย่างเดียว เขาได้ย้ายไปเล่นให้สโมสรระดับอาชีพครั้งแรกตอนอายุ 18 ปี แถมยังถูกล้อเลียนสำหรับความฝันในการติดทีม ‘อัศวินสีส้ม’ อีกต่างหาก
ชื่อของเขาถูกตั้งตาม เดนเซล วอชิงตัน ดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังชาวอเมริกัน โดยเริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นใน ร็อตเตอร์ดัม ก่อนย้ายไป บาเรนเดรชท์ หนึ่งในสโมสรระดับสมัครเล่นที่มีชื่อเสียงต้นๆในประเทศ
ดุมฟรีส์ ยอมรับว่าเขาเคยดูเงอะงะในการเล่นบอล และบางครั้งอาจตัดสินใจผิดหรือเตะสกัดได้ไม่ถูกเหลี่ยมนัก แต่เมื่ออายุ 17 ปี โอกาสในการเล่นฟุตบอลทีมชาติครั้งแรกก็มาก็มาถึง
ถึงเกิดใน ร็อตเตอร์ดัม แต่การที่พ่อแม่ของเขาย้ายมาจาก อารูบา ประเทศหมู่เกาะเล็กๆ ในทะเลแคริบเบียน ทำให้เขาตกลงเล่นให้กับที่นั่นได้ โดยจะลงเตะในเกมไม่เป็นทางการ เพื่อรอโอกาสที่เขาจะได้เล่นให้กับ เนเธอร์แลนด์ บ้านเกิดของเขาในสักวันหนึ่ง
แน่นอนว่านั่นทำให้เพื่อนๆของ ดุมฟรีส์ ต่างหัวเราะกับความฝันและความทะเยอทะยานที่เกินตัว แต่ก็เป็น สปาร์ต้า ร็อตเตอร์ดัม ที่เห็นแววของเด็กหนุ่ม คว้าตัวไปร่วมทีม และ เจ้าตัวก็ตอบแทนความเชื่อใจนั้นด้วยการช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่น เอเรดิวิซี่ สำเร็จ กับฤดูกาลแรกที่เขาถูกดันขึ้นชุดใหญ่เต็มตัวในฤดูกาล 2015-16
ฝันไม่ไกลเกินเอื้อม
ถึงได้โอกาสโชว์ฝีเท้าในลีกสูงสุดของแดนกังหันลม แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายที่ ดุมฟรีส์ ต้องการในอาชีพค้าแข้งของเขา
ดาวรุ่งจาก ร็อตตเตอร์ดัม เคยเขียนบนผนังห้องนอนว่าเขาต้องการให้อาชีพเป็นอย่างไรในอนาคต จนกระทั่งน้องสาวของเขาเข้ามาเป็นเจ้าห้องนั้นแทน และเขาก็ตัดสินใจละเลงสีทับลงไป แทนที่จะจดบันทึกความคิดของเขาไว้ในสมุดโน้ตสักเล่ม
ดุมฟรีส์ ยอมรับว่า บางคนเคยคิดว่าเขาเป็นคนเพี้ยนๆ จากการจดบันทึกเป้าหมายและความต้องการรับใช้ทีมชาติบ้านเกิดในเกมลูกหนัง แต่การย้ายไป เฮเรนวีน ในเวลาต่อมา รวมไปถึงการซบ พีเอสวี ในปี 2018 ก็ทำให้ความฝันของเขาเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น
หลังลงเล่นไป 4 เดือน เขาถูก โรนัลด์ คูมัน เรียกติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์เป็นหนแรก พร้อมกับได้ประเดิมสนามทันทีในเกมที่พบกับ เยอรมัน เมื่อเดือนตุลาคมปี 2018
“ผมเคยเงยหน้าขึ้นไปมองมันเสมอ นั่นคือที่ที่ผมอยากจะไป ผมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น ก้าวไปทีละขั้น” ดุมฟรีส์ กล่าวเสริม
“นั่นทำให้ผมมีแรงผลักดันและความปรารถนาบางอย่าง และทุกครั้งที่ผมทำบางสิ่งสำเร็จ ผมก็จะมีเป้าหมายใหม่เสมอ”
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดุมฟรีส์ ก็มีชื่อติดทีมชาติมาตลอด และลากยาวมาจนถึงยุคของ แฟรงค์ เดอ บัวร์ โดยได้ลงเล่นไปแล้ว 23 นัด
ใบเบิกทางสู่เป้าหมายใหม่
แม้ยังไม่สามารถคว้าแชมป์กับ พีเอสวี ได้เลย ตลอด 3 ปีในถิ่น ฟิลลิปส์ สตาดิโอน แต่ ดุมฟรีส์ ก็กลายเป็นแบ็คขวาเบอร์หนึ่งของสโมสร รวมถึงเบอร์ต้นๆ ในเอเรดิวิซี่ ไปแล้วเรียบร้อย
การันตีได้การติดทีมยอดเยี่ยมของลีกดัตช์ในฤดูกาล 2018-19 รวมถึงผลงานของเขากับทีม ทั้งในลีก หรือเกมระดับทวีป
จุดเด่นของ ดุมฟรีส์ คือพลังงานที่ล้นเหลือสำหรับวิ่งขึ้นลงไปตลอด 90 นาที ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้เล่นตำแหน่งแบ็คอยู่แล้ว แต่อีกอย่างที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นกว่าแบ็คทั่วไปคือการเติมเกมรุกที่ดุดัน ซึ่งทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ปีกหรือตัวริมเส้นหลายคนเลย
หลังจากค้าแข้งในบ้านเกิดอยู่นานหลายปี ผลงานในยูโร 2020 กับ เนเธอร์แลนด์ น่าจะเป็นใบเบิกทางให้กับ ดุมฟรีส์ ได้ย้ายไปต่างแดนร่วมสโมสรที่ใหญ่กว่านี้ พร้อมกับเป้าหมายที่ใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม
เส้นทางนับตั้งแต่เป็นแข้งมือสมัครเล่น ที่เล่นให้กับหมู่เกาะเล็กๆ อย่าง อารูบา ก่อนพัฒนาจนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในทีมชาติเนเธอร์แลนด์ คือความฝันที่ ดุมฟรีส์ เชื่อมั่นมาตลอดว่าเขาจะทำได้จริง
ถึงแม้ความฝันนี้ของเขาเป็นจริงแล้ว แต่เชื่อว่าเป้าหมายของเขาในทีม ‘อัศวินสีส้ม’ ในการคว้าแชมป์เมเจอร์มาครองให้ได้ยังคงอยู่ในตัวของ ดุมฟรีส์ อย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง มาแรงแซงโค้ง! อินเตอร์เปิดฉากเจรจา ดุมฟรีส์ แล้ว