เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา แฟนบอลทั่วโลกคงใจหายไม่น้อย เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าจอมเก๋าชาวสแปนิช ได้ประกาศยุติเส้นทางค้าแข้งอย่างเป็นทางการหลังฟาดแข้งมาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 18 ปี
ตอร์เรสคือหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จในชีวิตค้าแข้งคนหนึ่ง พร้อมด้วยเกียรติประวัติและรางวัลส่วนตัวมากมาย ทั้งถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, แชมป์ยูโรป้า ลีก 2 สมัย, แชมป์ เอฟเอ คัพ, แชมป์ยูโร 2 สมัย,แชมป์ฟุตบอลโลก ยิงประตูไปมากกว่า 300 ลูกทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ
แต่ก่อนที่ตอร์เรสจะสร้างชื่อได้ ย่อมมีจุดพลิกผันที่ทำให้เขากลายเป็นกองหน้าระดับโลกหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนร่างเป็นกองหน้าฟอร์มฝืดที่ไม่ต่างจากตัวตลกของแฟนบอลทั่วโลก หัวหอกแดนกระทิงดุคนนี้ก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว
และนี่คือ 7 เหตุการณ์สำคัญในเส้นทางค้าแข้งของยอดดาวยิงที่มีชื่อว่า ‘เฟร์นานโด ตอร์เรส’
โชคดีที่ตราหมีตกชั้น
แอตเลติโก้ มาดริด คว้าดับเบิ้ลไปครองได้อย่างสวยงามในปี 1996 แต่ทว่าอีก 4 ปีต่อมา แฟนตราหมีก็ต้องช็อกไปตามๆกันเมื่อทีมรักของพวกเขาต้องตกชั้นจากลีกสูงสุดแดนกระทิงครั้งแรกในรอบ 65 ปี ภายการคุมทีมของเคลาดิโอ้ รานิเอรี่ อย่างไรก็ตามการตกชั้นครั้งนั้นก็ทำให้ทีมพบเพชรเม็ดงามแห่งวงการลูกหนังคนใหม่ที่ชื่อว่า ‘เฟร์นานโด ตอร์เรส’
แม้ในฤดูกาล 2000-01 ซึ่งเป็นปีแรกในทีมชุดใหญ่ เอล นินโญ่ แทบไม่มีโอกาสลงสนามเลย เนื่องจากเขาบาดเจ็บที่กระดูกหน้าแข้ง แต่ในปีต่อมา ตอร์เรสได้ลงเล่นแบบเต็มฤดูกาเป็นครั้งแรก โดยยิงไปทั้งหมด 6 ลูกจากการสนามในเซกุนด้า 36 นัด ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควรกับอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น และที่สำคัญเขาช่วยให้แอตฯมาดริดกลับขึ้นมาเล่นในลาลีก้าได้อีกครั้ง
ซึ่งตอร์เรสได้ระลึกถึงช่วงนั้นว่า ถ้าทีมตราหมีไม่ตกชั้นลงไปเล่นในลีกรอง ณ ตอนนั้น ตัวเขาคงต้องรอโอกาสไปอีกนานหลายปีเลยทีเดียว
และในซัมเมอร์นั้น ตอรเรสก็พาทีมชาติสเปนชุดเล็ก คว้าแชมป์ยูโร U-19 ด้วยการเอาชนะเยอรมันในนัดชิงชนะเลิศ 1-0 พร้อมพ่วงรางวัลดาวซัลโว (4 ประตู)และนักเตะยอดเยี่ยมในรายการนั้นไปครอง
กัปตันคนใหม่ในวัย 19
แน่นอนว่าลีกสูงสุดของลาลีก้า ย่อมมีคุณภาพและความเข้มขันกว่าเซกุนด้าอยู่หลายเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้น เอล นินโญ่ กลับผลงานได้ดีกว่าตอนที่อยู่ลีกรองเสียอีก โดยยิงไปถึง 13 ประตูจากการลงเล่น 28 นัด ในฤดูกาล 2002-03
ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นเกินวัยในขวบปีแรกของลาลีก้า ทำให้เชลซีในยุคโรมัน อับราโมวิช ยื่นข้อเสนอกว่า 28 ล้านปอนด์เพื่อกระชากตัว ตอร์เรส เข้ารังสิงห์บลู แต่ทว่าทีมได้ตอบปัดปฏิเสธไป และนี่ถือเป็นการตัดสินที่ถูกต้องของบอร์ดตราหมี เพราะตอร์เรสยิงประตูมากกว่าเดิม เป็น 19 ประตูจาก 35 นัด พร้อมกับได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันตั้งแต่อายุ 19 ปี นับตั้งแต่นั้นเป็นมา
นอกจากนี้ ตอร์เรส ยังเป็นนักเตะที่ครองตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของสโมสรถึง 5 ปีติดต่อกัน (2002-2007) ซึ่งมีแค่อองตวน กรีซมันน์เท่านั้นที่ทำแบบหัวหอกชาวสแปนิชได้
แต่น่าเสียดายเหมือนกันที่ตลอดเวลาที่ตอร์เรสค้าแข้งในถิ่น บิเซนเต้ กัลเดร่อน เขาไม่สามารถพาทีมจบฤดูกาลได้มากว่าที่ 7 ในลาลีก้าเลย แม้ว่าจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ตาม
สู่กองหน้าระดับโลก
หลังอยู่กับทีมรักมานานถึง 7 ปี ตอร์เรสก็ต้องบอกลาตราหมีเพื่อโอกาสในการคว้าแชมป์และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง และสถานีต่อไปของเขาคือ ลิเวอร์พูล สโมสรชื่อดังจากเกาะอังกฤษ โดยมีราฟาเอล เบนิตเตซ คนบ้านเดียวกันเขาเป็นกุนซือให้ทีมหงส์แดง
แม้พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะโหดหินเพียงใด แต่ว่านั่นไม่ได้เป็นปัญหาหรือส่งผลในแง่ลบต่อฟอร์มการเล่นของ เอล นินโญ่ เลย แถมยังปรับตัวให้เข้ากับลีกใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และยิงประตูให้หงส์แดงกระจายในฤดูกาล 2007-08 พร้อมทำสถิติแข้งต่างชาติที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกปีแรกได้มากที่สุด 24 ประตู ทำลายสถิติเก่าของ รุด ฟานนิสเตอรอยด์ ที่ยิงไป 23 ประตูที่ทำไว้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2001-02
ในปีต่อมา แม้จะยิงในลีกได้น้อยลง แต่หัวหอกทีมชาติสเปนก็ประสานงานกับ สวีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมขวัญใจเดอะค็อปป์ ได้อย่างลงตัว จนเกือบพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี
ตอร์เรส อาจจะไม่ได้เป็นตำนานถึงขั้น เธียร์รี่ อองรี หรือ อลัน เชียเรอร์ แต่ว่าในช่วงฟอร์มพีคๆ อดีตลูกหม้อของตราหมีก็คือหนึ่งในกองหน้าที่ครบเครื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการพาบอลลากเลื้อย, ความเร็ว, ความเฉียบคมในการยิงประตูทั้งการยิงด้วยเท้าหรือลูกโหม่ง เขาก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากไม่เชื่อลองไปถาม เนมานย่า วิดิช ดูได้เลย
จุดสูงสุดในทีมชาติ
ช่วงที่เอล นินโญ่ ย้ายมาเล่นให้เกาะอังกฤษ เขาสามารถรักษาฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมระดับสโมสรและต่อยอดความร้อนแรงไปถึงการเล่นให้ทีมชาติสเปนด้วย
จริงๆตอร์เรสได้ประเดิมทีมชาติสเปนนัดแรกตั้งแต่สมัยค้าแข้งกับแอตฯมาดริดในบ้านเกิดแล้วเมื่อปี 2003 แต่ช่วงที่เขาได้เป็นกองหน้าตัวหลักของทีมคือช่วงฟุตบอลโลกปี 2006 รอบคัดเลือก และได้โอกาสลงเล่นร่วมกับ ดาบิด บีย่า ในแดนหน้าเป็นครั้งแรก และได้เป็นคู่ขาคนสำคัญของเขาในเวลาต่อมา
ในปี 2008 ทัพกระทิงดุเริ่มเข้าสู่ยุคทองหลังคว้าแชมป์ยูโรได้เป็นสมัยที่ 2 ซึ่งตอร์เรสเป็นคนยิงประตูชัยในนัดชิงดำกับเยอรมัน และที่สำคัญนี่คือแชมป์รายการแรกที่ตอร์เรสคว้ามาครองได้ในอาชีพค้าแข้งของเขาด้วย พร้อมกับติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์นั้นด้วย
ช่วงท้ายฤดูกาล 2009-10 ตอร์เรสได้บาดเจ็บหัวเข่า แต่บิเซนเต้ เดล บอสเก้ กุนซือทีมชาติสเปนก็หิ้วเอล นินโญ่ ติดทัพสู้ศึกฟุตบอลโลกในปีนั้นที่แอฟริกาใต้ด้วย และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมชาติ หลังคว้าแชมป์โลกมาครองได้เป็นครั้งแรก แม้ตอร์เรสจะไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมมากเหมือนศึกชิงแชมป์บอลทวีปยุโรปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
แต่ทว่าหลังจากรายการนั้น เอล นินโญ่ ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นกองหน้าระดับโลกได้เหมือนเคย
ก้าวที่พลาดจนดิ่งเหว
ณ วันที่ 31 มกราคมปี 2011 เดอะ ค็อปป์ ทั่วโลกทุกมุมโลกต้องช็อกตาตั้ง เมื่อเห็นกองหน้าขวัญใจของพวกเขาย้ายไปเล่นให้เชลซีแบบฟ้าผ่า ด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์ และมีสัญญากับทีมใหม่เป็นเวลา 5 ปีด้วยกัน
อย่างที่ทราบกันดีว่า โรมัน อิบราโมวิช ชื่นชอบในตัวตอร์เรสมาตั้งแต่ตอนอยู่กับแอตฯมาดริดแล้ว และพยายามคว้าตัวมาร่วมทีมหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะมาสำเร็จเสร็จสิ้นเอาในปีดังกล่าว แต่ทว่านักเตะที่สิงห์บลูได้คว้าตัวร่วมทีมในตอนนี้ ไม่ใช่นักเตะคนเดิมที่แฟนบอลทั่วโลกเคยเห็นเหมือนปีก่อนๆอีกต่อไป
เพราะนับตั้งแต่ย้ายมาค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ตอร์เรสประสบปัญหาฟอร์มตกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะตอนที่เล่นให้ตราหมีหรือหงส์แดงก็ตาม โดยทำไปแค่ประตูเดียวเท่านั้นในครึ่งฤดูกาลหลังของปี 2010-11
ด้วยความมั่นใจค่อยๆลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ และไม่มีวี่แววว่าจะปรับตัวเขากับทีมได้เลย ส่งผลให้ตอร์เรสกลายเป็นตัวตลกของแฟนบอลคู่แข่งอย่างสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงแฟนบอลลิเวอร์พูลด้วย และตลอดเวลาที่ตอร์เรสอยู่ในลอนดอนเขายิงให้ทีมไปได้แค่ 45 ประตูเท่านั้นจากลงเล่น 172 นัดในทุกรายการ เทียบกับตอนที่อยู่แอตฯมาดริดหรือลิเวอร์พูลไม่ได้เลย
นั่นเท่ากับว่าหัวหอกทีมชาติสเปนยืนระยะเป็นแข้งระดับโลกได้จริงๆเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น แต่สิ่งที่ดูตลกร้ายไปมากกว่านั้นคือ ช่วง 4 ปีที่เป็นฟอร์มร้อนแรงกับลิเวอร์พูล ตอร์เรสไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยแม้แต่รายการเดียวในระดับสโมสร
แต่ตอนฟอร์มตกหมดสภาพกองหน้าระดับเวิล์ดคลาสกับเชลซี ที่นี่กลับเป็นที่ที่เขาประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ในระดับสโมสรมากที่สุด โดยแบ่งเป็นแชมป์เอฟเอ คัพปี 2012, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2012 และแชมป์ ยูโรป้า ลีกปี 2013 นอกจากนี้คว้าแชมป์ยูโรอีกสมัยกับทีมชาติสเปนในปี 2012 ด้วย
รักเก่าที่บ้านเกิด
4 ปีที่ฟอร์มดับกับสิงห์บลู ตอร์เรสจึงตัดสินใจย้ายไปเล่นให้เอซี มิลานในอิตาลี แบบยืมตัวยาวๆ 2 ปี เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงกลับมาให้ได้อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังทำผลงานได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่ โดย 10 นัดในถิ่นซาน ซีโร่ ยิงไปเพียงประตูเดียวเท่านั้น
ปีศาจแดงดำได้ยื่นซื้อขาดตอร์เรสจากเชลซีในตลาดหน้าหนาวปี 2015 แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ย้ายกลับไปเล่นให้กับทีมเก่าในวัยเด็กอย่าง แอตเลติโก้ มาดริด แบบยืมตัว สลับขั้วกับ อเลสซิโอ แชร์ชี่ ปีกชาวอิตาเลี่ยน ก่อนจะย้ายมาร่วมทีมถาวรในปี 2016
แฟนบอลตราหมีกว่า 45,000 คนต้อนรับการกลับมาของฮีโร่ของพวกเขาในถิ่นบิเซนเต้ กัลเดร่อน ที่ที่ตอร์เรสเรียกไปเต็มปากว่าเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขา และนั่นช่วยทำให้เขากลับมามีชีวิตชีวาและความั่นใจมากขึ้นยามโชว์ฝีเท้าบนฟลอร์หญ้า
แน่นอนว่าตอร์เรสไม่มีทางกลับไปวิ่งสปีดฉีกกองหลังได้เหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากตอนที่ย้ายมาทีมตราหมีนั้น เขาอายุแตะเลขสามเข้าไปแล้ว แต่สิ่งที่ทดแทนความรวดเร็วที่ขาดหายไปคือประสบการณ์และความเก๋า ซึ่งจะช่วยให้ทีมตราหมีมีมิติในการเล่นเกมรุกที่หลากหลายมากขึ้น
และการกลับมาทีมตราหมีหนที่สองก็ทำให้เอล นินโญ่ เป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลอันดับที่ 6 ประจำทีมโลส โคลโชเนรอส โดยยิงไปทั้งหมด 129 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 404 นัดในทุกรายการ พร้อมกับคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีกปี 2018 ซึ่งแชมป์แรกของเขาในทีมตราหมีด้วย
ช่วงสุดท้ายในแดนปลาดิบ
ใครหลายคนอาจจะคิดว่าตอร์เรสน่าจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดแบบสวยๆ หลังลงเล่นนัดสุดท้ายให้แอตมาดริดด้วยการเอาชนะมาร์กเซยไป 3-0 ในนัดชิงฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็ก
แต่ในเดือนกรกฏาคมปี 2018 ตอร์เรสก็สร้างความฮือฮาในวงการลูกหนังอีกครั้ง เมื่อตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งกับ สากัน โตสู สโมสรจากเจลีก ญี่ปุ่น ตามรอยเพื่อนร่วมชาติอย่าง อันเดรส อิเนียสต้า และ ดาวิด บีย่า ที่ย้ายมาเล่นให้วิสเซล โกเบ ก่อนหน้านี้
ด้วยวัย 34 ปีกับประสบการณ์ระดับสูงทำให้อดีตหัวหอกหงส์แดงพอที่จะเอาตัวรอดในลีกสูงสุดแดนปลาดิบได้อยู่บ้าง โดยลงเล่นไปทั้งหมด 32 นัดในทุกรายการ ยิงได้ 4 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์
แต่ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา หลังค้าแข้งมานานกว่า 18 ปี ล่าสุดตอร์เรสตัดสินใจเตรียมอำลาวงการลูกหนังอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าใจหายสำหรับแฟนบอลที่ติดตามเขามาตั้งแต่อยู่ตราหมีจนถึงตอนนี้
เราขออวยพรให้เขามีความสุขกับชีวิตหลังแขวนสตั๊ด แต่ก็จะรอวันที่เขากลับมาโลดแล่นในวงการลูกหนังอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานโค้ชหรือตำแหน่งใดๆก็ตามในสโมสรก็ตาม
หวังจะได้พบกันใหม่ในเร็วๆนี้ เอล นินโญ่