นับตั้งแต่เริ่มต้นฟาดแข้งในวันที่ 21 มิถุนายน ผ่านมาเกือบเดือนเต็มๆ ในที่สุด แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2019 ก็เดินทางไปถึงเส้นชัยเสียที
หากเปรียบเป็นนักวิ่งตอนนี้ เซเนกัล กับ แอลจีเรีย ก็คงตีคู่ขนาดกันมา อยู่ที่ว่าใครจะสปรินต์ระยะ 100 เมตรสุดท้ายได้เร็วกว่ากัน
แต่เพื่อสร้างอรรถรสในการชมเกมให้สนุกยิ่งขึ้น เรามีข้อมูลเกี่ยวกับทั้งสองทีมก่อนลงเล่นรอบชิงชนะเลิศ มาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟัง
4 เหตุผลหลังจากนี้ อาจทำให้ใครที่เฉยๆ อาจจะอยากดูเกมนัดชิงนัดนี้ก็เป็นได้
1.มาห์เรซ VS มาเน่
แม้ในระดับสโมสรกับ แมนฯ ซิตี้ จะได้ลงสนามไม่ค่อยสม่ำเสมอ แต่ในนามทีมชาติ ริยาด มาห์เรซ คือ “คีย์แมน” สำคัญที่ทัวร์นาเมนต์แบกรับความผิดชอบในฐานะกัปตันทีม
ปีกวัย 26 ปียิงไปแล้ว 3 ประตูใน AFCON 2019 โดยฟรีคิกปลิดวิญญาณใส่ ไนจีเรีย ในรอบรองฯ คือ “ทีเด็ด” ที่ทำให้แฟนบอลต้อง “อึ่ง ทึ่ง เสียว” ไปตามๆ กัน
ส่วนทาง เซเนกัล นอนมาเป็นทีมเต็งแชมป์ตั้งแต่รายการไม่เริ่ม เพราะทีมชุดนี้เต็มไปด้วยสตาร์ดังมากมาย และที่สำคัญแนวรุกของพวกเขามีชายที่ชื่อ ซาดิโอ มาเน่ เป็นอาวุธหนัก
เจ้าของดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ยิงในทัวร์นาเมนต์นี้ไปแล้ว 3 ประตูเท่ากับทาง มาห์เรซ พอดิบพอดี
ดูแล้วก็เสมือนบทละคร ที่ชักพาทั้งคู่มาเจอกันแบบถูกที่ถูกเวลา ระดับฝีเท้าที่ใกล้เคียง สถิติในทัวร์นาเมนต์ที่สุดสูสี
90 นาทีหลังจากนี้ มาเน่ หรือ มาห์เรซ ใครทำได้ดีกว่า ชาติตัวเองก็เตรียมเฮได้เลย
2.เกมรุก VS เกมรับ
นับตั้งแต่นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มจนถึงตอนนี้ แอลจีเรีย คือทีมเดียวในทัวร์นาเมนต์ที่ยังไม่แพ้ให้กับทีมใด แถมเกมรุกก็เด็ดสะระตี๋ยิงไปแล้วถึง 12 ประตูมากกว่าทีมใดๆ
เกมรับพวกเขาก็ไม่ธรรมดาเพราะเสียไปแค่ 2 ประตูเท่านั้น ทว่ายังไม่ใช่สถิติที่ดีที่สุดของรายการ เพราะทีมที่เสียน้อยกว่าก็คือ เซเนกัล คู่ปรับในรอบชิงฯ ที่เพิ่งโดนทะลวงไส้ไปเพียงเม็ดเดียว
จากสถิติที่กล่าวไปเท่ากับว่าเกม Final Round หนนี้จะเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทีมเกมรุกที่ดีที่สุด ปะทะ ทีมที่มีเกมรับเยี่ยมที่สุด ไปโดยปริยาย
ทว่าจุดน่าสนใจคือกำแพงน้ำแข็งของ เซเนกัล อาจจะไม่ดีเหมือนเดิม เพราะจะขาด คาลิดู คูลิบาลี่ เนื่องจากติดโทษแบนไปอย่างน่าเสียดาย
3.เซเนกัล ลุ้นแชมป์สมัยแรก
แม้จะเป็นยอดทีมของกาฬทวีปในยุคนี้ แต่น่าเหลือเชื่อไม่น้อยที่ เซเนกัล ที่เคยผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายมาแล้ว 2 ครั้ง จะยังไม่เคยเถลิงแชมป์ แอฟริกัน คัฟ ออฟ เนชั่นส์ เลย
ใกล้เคียงสุดอยู่ที่ปี 2002 ยุคที่ เอล ฮัดจิ ดิยุฟ และ อองรี กามาร่า เป็นสตาร์ของทีม พวกเขาทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่สุดท้ายไปแพ้ต่อ แคเมอรูน ด้วยการยิงจุดโทษอย่างน่าเสียดาย
สำหรับหนนี้นับเป็นการเข้าชิงชนะเลิศหนที่ 2 คงต้องลุ้นดูว่า เซเนกัล จะสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์สมัยแรกของตนเองได้หรือมั้ย ?
ส่วนทาง แอลจีเรีย เคยผงาดคว้าโทรฟี่ AFCON มาแล้ว 1 หนในปี 1990 ที่เป็นเจ้าภาพเสียเอง ซึ่งหนนี้เป็นการเข้าชิงหนที่ 3 ซึ่งพวกเขาต้องการแชมป์เพื่อลบคำสบประมาทว่า “เก่งแต่ในบ้าน”
4.เบลมาดี้ ลุ้นกุนซือตราไก่คนที่ 4 แชมป์AFCON
ศึกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ นับตั้งแต่เริ่มจัดการแข่งขันมาในปี 1957 อียิปต์ อาจจะเป็นชาติที่คว้าแชมป์ได้มากที่สุด แต่หากแยกย่อยเป็นผลงานรายบุคคล
น่าเหลือเชื่อไม่น้อยที่กุนซือจากแดนน้ำหอมฝรั่งเศส กลายเป็น “สินค้าชั้นดี” ที่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้มากที่สุดถึง 4 คน
ไล่เรียงตั้งแต่ โคล้ด เลอ รัว (แคเมอรูน 1988), ปิแอร์ เลช็องเตร้ (แคเมอรูน 2000), โรเจอร์ เลอแมร์ (ตูนีเซีย 2004) และ แอร์กเว่ เรอนาร์ ที่เบิ้ล 2 สมัยกับ แซมเบีย 2012 และ ไอวอรี่ โคสต์ 2015
และในนัดชิงชนะเลิศวันนี้ หาก ฌาเมล เบลมาดี้ อดีตมิดฟิลด์ของ เซาธ์แฮมป์ตัน สามารถพา แอลจีเรีย ผงาดแชมป์ได้ เจ้าตัวก็จะเป็นกุนซือฝรั่งเศส คนที่ 5 ที่ได้แชมป์รายการนี้