หากพูดถึง อาร์เซนอล ในยุคที่มีขงเบ้งจากแดนน้ำหอมอย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นคนคุมบังเหียน อะไรคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกทีมของเขาได้ดีที่สุด
อันดับแรกที่ถูกนึกถึงคงหนีไม่พ้น “ดิ อินวิซิเบิ้ล” ตำนานแชมป์ไร้พ่ายในฤดูกาล 2003-04 ที่เกรียงไกรไร้ทีมใดโค่นสุดยอดสถิตินี้ได้ง่ายๆ
ต่อมาก็คงเป็นสไตล์การเล่นที่ปรับจาก “บอริ่งฟุตบอล” ที่เน้นเกมรับที่แน่นหนา ให้กลายเป็น “บิวตี้ฟูลฟุตบอล” ที่เต็มไปด้วยมนต์สเน่ห์และการต่อบอลและจังหวะเข้าทำที่สวยงาม
อีกประเด็นที่ไม่น่าจะถูกมองข้ามก็คือการให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาประดับวงการลูกหนัง ไล่เรียงจริงๆ ไล่เรียงที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันก็พวก นิโคลัส อเนลก้า, เชส ฟาเบรกาส, แจ็ค วิลเชียร์, อารอน แรมซี่ย์, วอยเซียค เซสนี่ และอีกมากมาย
อย่างไรก็ตามแม้ปัจจุบัน อูไน เอเมรี่ จะเดินตามรอยด้วยการให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง มัตเตโอ เก็นดูซี่, รีส เนลสัน, โจ วิลล็อค และ เอมิล สมิธ โรว์ ขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่
แต่โลกแห่งความจริงไม่ได้สวยงานราวปูพรมด้วยกลีบกุหลาบ ที่ได้โอกาสขึ้นสู้ต่อในลีกอาชีพเป็นเพียงหยิบมือจากอะคาเดมี่เท่านั้น หลายคนต้องเก็บกระเป๋าไปหาความท้าทายใหม่กับสโมสรอื่น
และส่วนใหญ่ก็มักจะไปไม่รอด ไม่เลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ก็วนเวียนอยู่แค่ลีกระดับล่าง นานๆ ทีถึงจะมีคนแจ้งเกิดทำผลงานได้ดีกับสโมสรใหม่ และก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงระดับทีมชาติได้
ซึ่ง 5 นักเตะที่จะถูกกล่าวถึงดังต่อไปนี้ คือผลผลิตที่ไม่ผ่านการเจียระไนจาก อาร์เซนอล แต่ตอนนี้เส้นทางลูกหนังของพวกเขากำลังไปได้ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าสาวก “เดอะ กันเนอร์ส” จะเสียดายพวกเขากันหรือเปล่า ?
แซร์จ นาร์บี้
ตอนที่ แซร์จ นาร์บี้ ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อฤดูกาล 2013-14 เจ้าตัวมีผลงานที่แฟนบอล อาร์เซนอล ค่อนข้างประทับใจ 9 เกมที่ลงสนามยิงได้ 1 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์
ทว่าช่วงท้ายซีซั่นเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจนต้องพักยาว กลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกทีกับ เวสต์ บรอมวิช ด้วยสัญญายืมตัว แต่ทุกอย่างก็ย่ำแย่หลังได้รับโอกาสจาก โทนี่ พูลิส เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น
กราฟเส้นทางลูกหนังของ นาร์บี้ มุ่งหน้าสู่ความมืดมัว แต่สุดท้ายก็เป็น เบรเมน ที่ดึงมาปัดฝุ่นใหม่ในลีกบ้านเกิด ก่อนที่จะระเบิดฟอร์มยิงระดับ 10 ประตูมา 3 ฤดูกาลติดต่อกัน
นาทีนี้ แซร์จ นาร์บี้ ที่เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ บาเยิร์น มิวนิค ในซีซั่นที่ผ่านมา และกำลังเป็นแนวรุกตัวหลักของทีมชาติเยอรมัน ด้วยการยิงไปแล้วถึง 5 ประตูจาก 6 เกมหลังสุดที่ลงสนาม
ดอนเยลล์ มาเล่น
กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังลงสนามในนามทีมชาติครั้งแรก ก็ตะบันสกอร์ได้ทันที แถมเป็นการยิงทีมใหญ่อย่าง เยอรมัน เสียด้วย
ถ้าวัดในแง่ผลงานจริงๆ มาเล่น เพิ่งจะมายึดตัวจริงของ พีเอสวี ได้ในฤดูกาลนี้ โดยซีซั่นทีแล้วยังเป็นเพียงซูเปอร์ซับ ที่ลงสนามในฐานะตัวสำรองถึง 25 เกมและยิงไป 10 ประตู
ดาวยิงวัย 20 ปีย้ายจาก อาแจ็กซ์ มาอยู่กับ อาร์เซนอล ในปี 2015 ตลอดเวลา 2 ปีเจ้าตัวยิงในระดับยูธไปถึง 44 ประตู ทว่าสุดท้ายไม่ได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่เลยแม้แต่เกมเดียว
ช่วงปี 2017 มาเล่น ตัดสินใจย้ายกลับไปเล่นในบ้านเกิดกับ พีเอสวี แทนหลังรู้สึกไม่ได้รับการการันตีขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ แม้ อาร์เซนอล จะพยายามเสนอสัญญาใหม่ที่ดีกว่าเดิมก็ตาม
เจฟฟ์ เรเน่ อเดเลด
เจฟฟ์ เรเน่ อเดเลด เป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งที่ย้ายมาอยู่กับ “ปืนใหญ่” ตั้งแต่ปี 2015 และเคยก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในฟุตบอล เอมิเรตส์ คัพ ซึ่งภาพรวมเจ้าหนูรายนี้ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วย
อย่างไรก็ตามกราฟชีวิตของเขาก็ไม่ต่างจากแข้งดาวรุ่งทั่วไป ที่วนเวียนอยู่แค่ลีกเยาวชนและไม่เคยได้รับโอกาสลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเลยแม้แต่นัดเดียว
ล่าสุดเจ้าตัวเพิ่งให้สัมภาษณ์กับ โกล์.คอม ว่า “ผมอายุ 17 ปีตอนผมมายัง อาร์เซนอล และมันดูวุ่นวายเล็กน้อย มันมีการแข่งขันอย่างมาก และผมต้องเรียนรู้”
“ผมก้าววหน้าขึ้นนับตั้งแต่กลับมาฝรั่งเศส ผมเริ่มต้นแบบไม่มีอะไรเลย เพราะผมมีช่วงเวลาที่ยากที่อังกฤษ ผมแทบไม่ได้เล่นในระดับอาชีพเลย ถ้าคุณดูอาชีพของผม มันเพิ่งเริ่มต้น มันเริ่มจริงๆ เมื่อปีครึ่งที่ผ่านมาเท่านั้น”
จริงอยู่ว่าตอนนี้ เจฟฟ์ เรเน่ อเดเลด อาจจะดังน้อยกว่า นาร์บี้ หรือ มาเล่น ที่ก้าวขึ้นไปเล่นทีมชาติชุดใหญ่แล้ว แต่ 1 ปีครึ่งกับ อองเช่ร์ มันดีพอให้เขาต่อยอดมายัง ลียง ที่อาจเป็นบันไดขั้นใหม่ของเจ้าตัวก็ได้
ในเมื่อหลายฤดูกาลมานี้ ฌอง มิเชล โอลาส ก็ทำเงินจากการปั้นนักเตะสู่ท้องตลอดยุโรปได้อย่างมากมาย
อิสมาเอล เบนนาเซอร์
หลังก้าวขึ้นมาเล่นกับ อาร์กล์ ในลีก เดอซ์ ฝรั่งเศส ด้วยวัยเพียง 16 ปี อาร์เซนอล ไม่รอช้าที่จะดึงมิดฟิลด์ดาวรุ่งแววดีรายนี้เข้าสู่อะคาเดมี่ของตัวเองในปี 2015
ทว่าตลอดสัญญา 2 ปีกับทีม “ปืนใหญ่” เบนนาเซอร์ ได้โอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่แค่หนเดียวเท่านั้น ก็คือเกมลีก คัพ รอบ 4 ที่พวกเขาบุกไปแพ้ เชฟฯ เว้นสเดย์ แบบหมดสภาพ 0-3
หลังจากนั้นเจ้าตัวถูกปล่อยให้ ตูร์ส ในลีกรองของ ฝรั่งเศส ยืมใช้งาน และฟอร์มไปเตะตา เอ็มโปลี ดึงเล่นใน เซรี่ บี และพาทีมคว้าแชมป์พร้อมตีตั๋วขึ้นชั้นสู่ลีกสูงสุดของแดนมักกะโรนี
ผลงานของ เบนนาเซอร์ โดดเด่นมากๆ ในขวบปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะกับทีมชาติแอลจีเรีย ที่ผงาดคว้าแชมป์ แอฟริก้น คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2019 ซึ่งเจ้าตัวเด่นจัดถึงขั้นคว้าแข้งยอดเยี่ยมของรายการ
จริงๆ อาร์เซนอล มีออปชั่นที่จะดึงตัวกลับมาร่วมทีมด้วย แต่สุดท้ายเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้นและ เบนนาเซอร์ ได้ย้ายไปอยู่กับ เอซี มิลาน ซึ่งน่าจะเป็นอีกก้าวที่เติบโตขึ้นของดาวเตะวัย 21 ปี
คาร์ลอส เวล่า
หลังจากคว้าดาวซัลโวฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี เมื่อปี คาร์ลอส เวล่า คือหนึ่งในดาวรุ่งที่แฟนบอล อาร์เซนอล รอคอยเป็นอย่างมากที่จะได้ยลฝีเท้าของเขาแบบติดขอบสนาม
การมีปัญหาใบอนุญาตทำงาน หรือ “เวิร์ค เพอร์มิต” ทำให้เขาต้องกลายเป็นนักเตะสัญญาในสเปน ถึง 2 ปี และการรอคอยของสาวก “เดอะ กันเนอร์ส” ก็ดูจะกร่อยๆ หน่อย เพราะฟอร์มไม่ได้เปรี้ยงอย่างที่คิดไว้
จริงๆ เวล่า เป็นนักเตะที่จบสกอร์ได้ดี แต่กลับมีปัญหาในการปรับตัวเล่นในพรีเมียร์ลีก และตลอด 3 ปีกับทีม “ปืนใหญ่” ดาวยิงเม็กซิกัน ซัดไปแค่ 11 ประตูจาก 62 เกมในทุกรายการ
การย้ายออกจาก อาร์เซนอล คือคำตอบสู่การเดินหน้าในเส้นทางอาชีพ เวล่า โยกไปเป็นดาวยิงที่มีชื่อเสียงพอตัวใน ลา ลีกา สเปน หลังลงเล่นให้กับ เรอัล โซเซียดัด นานถึง 7 ฤดูกาล
เวล่า ในวัย 30 ปีย้ายมาเล่นให้ ลอส แอนเจลิส เอฟซี พร้อมตะบันในลีกไปถึง 40 ประตูจาก 53 นัด และกำลังแย่งกันเป็น “ตัวชูโรง” ของลีกกับดาวยิงตัวร้ายอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช อยู่ในเวลานี้