ผิดเวลา! 7 แข้งดังที่ย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกเร็วเกินไป

 

พรีเมียร์ลีก ถือเป็นสังเวียนที่มีนักฟุตบอลชั้นนำจำนวนไม่น้อยเอาชื่อมาทิ้งไว้ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป บางรายก็ปรับตัวเข้ากับความรวดเร็วและรุนแรงไม่ได้ บางรายก็ทนกับสภาพแวดล้อมและความกดดันไม่ไหว หรือบางรายก็มาหากินบนดินแดนผู้ดีในช่วงเวลาที่ตัวเองยังไม่พร้อม

 

และต่อไปนี้ คือ 7 นักเตะที่พุ่งชนกับความล้มเหลวในการเล่นบนเวทีพรีเมียร์ลีก ก่อนที่พวกเขาจะเติบโตขึ้น แล้วไปได้สวยในอาชีพการค้าแข้งหลังก้าวออกมา

 

เควิน-ปรินซ์ บัวเต็ง (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์)

 

 

เควิน-ปรินซ์ บัวเต็ง มาถึง สเปอร์ส ในปี 2007 โดยพกดีกรีดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของวงการลูกหนังเยอรมันมาด้วย แต่การที่เวลานั้นเขาเพิ่งอายุ 20 ปี และได้ย้ายเข้ามาสู่เมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวนอย่างลอนดอน ทำให้เจ้าตัวขาดวุฒิภาวะในการใช้ชีวิต ทั้งการออกปาร์ตี้อย่างหนัก กินอาหารที่ผิดหลักโภชนาการมากเกินไป และใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย

 

โชคดีที่หลังจากนั้น กองกลางทีมชาติกาน่าสามารถกลับมาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องได้อีกครั้ง แม้ชีวิตการค้าแข้งของเขาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบเปรี้ยงปร้าง แต่เจ้าตัวก็ยังวนเวียนอยู่ในเกมลูกหนังระดับสูงตลอด และการได้เล่นให้กับทีมใหญ่อย่าง เอซี มิลาน หรือถูก บาร์เซโลน่า ดึงไปอยู่ด้วยในช่วงสั้นๆ ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพของบัวเต็งผู้พี่ได้อยู่เหมือนกัน

 

ยอน ดาห์ล โทมัสสัน (นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด)

 

 

ยอน ดาห์ล โทมัสสัน ถูกเซ็นสัญญาเข้าร่วมทีม นิวคาสเซิ่ล โดย เคนนี่ ดัลกลิช หลังจากสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในลีกฮอลแลนด์กับ ฮีเรนวีน อันที่จริงแล้ว เขาโดนดึงเข้ามาเพื่อรับบทบาทเป็นกองหน้าเบอร์สองรองจาก อลัน เชียเรอร์ แต่เมื่อตำนานแห่งถิ่น เซนต์ เจมส์ พาร์ค ถูกอาการบาดเจ็บระยะยาวลักพาตัวไป นั่นจึงทำให้เจ้าตัวได้ลงล่าตาข่ายในพรีเมียร์ลีกเร็วกว่าที่คาด

 

อย่างไรก็ตาม หัวหอกจากแดนโคนมกลับยิงไปได้แค่ 3 ประตูเท่านั้น จาก 23 นัด ก่อนถูกปล่อยกลับลีกดัตช์ไปอยู่กับ เฟเยนูร์ด ทั้งที่เพิ่งเล่นให้กับสาลิกาดงได้เพียงฤดูกาลเดียว ซึ่งหลังจากนั้น เจ้าตัวก็ได้วิญญาณเพชฌฆาตกลับมาอีกครั้ง และในปี 2002 เขาก็ได้ย้ายไปค้าแข้งกับยักษ์ใหญ่จากอิตาลีอย่าง เอซี มิลาน นอกจากนี้ หลังสิ้นสุดอาชีพการค้าแข้ง โทมัสสัน ยังสถาปนาตัวเองกลายเป็นดาวยิงสูงสุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติเดนมาร์กอีกต่างหาก

 

เยโรม บัวเต็ง (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

 

 

“ในอังกฤษ คุณต้องเล่นให้ดีโดยทันที” เยโรม บัวเต็ง บอกกับสื่อดังเมืองเบียร์อย่าง Bild “แน่นอนว่าคุณจำเป็นต้องใช้เวลาสักพัก แต่สื่ออังกฤษจะไม่ให้เวลากับคุณ”

 

บัวเต็งผู้น้อง ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการบาดเจ็บที่ถาโถมเข้าใส่ตลอดฤดูกาล 2010-11 ซึ่งเป็นซีซั่นเดียวที่เขาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนที่ต่อมา บาเยิร์น มิวนิค จะฉวยจังหวะยื่นข้อเสนอมูลค่า 13.5 ล้านยูโร ดึงตัวปราการหลังชาวเยอรมันไปร่วมทัพ และหลังจากนั้น บัวเต็ง ก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในอาชีพการค้าแข้ง โดยเจ้าตัวคว้าแชมป์รายการสำคัญร่วมกับทีมเสือใต้ไปถึง 12 รายการ (7 บุนเดสลีก้า , 4 เดเอฟเบ โพคาล , 1 ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก) และผงาดครองแชมป์โลกกับพลพรรคอินทรีเหล็กได้ในปี 2014 ด้วย

 

มาร์โก มาเตรัซซี่ (เอฟเวอร์ตัน)

 

 

มาเตรัซซี่ ย้ายจากสโมสรเล็กๆในบ้านเกิดอย่าง เปรูเกีย มาค้าแข้งกับ เอฟเวอร์ตัน ในปี 1998 อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวอยู่เล่นกับท็อฟฟี่สีน้ำเงินได้เพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น โดยฝากสถิติลงสนามไป 33 นัด ยิงได้ 2 ประตู และโดนไล่ออก 3 ครั้ง ก่อนที่จะเก็บประเป๋ากลับมาซบตัก เปรูเกีย อีกครั้ง

 

ต่อมา แนวรับผู้โด่งดังจากการโดน ซีดาน เอาหัวโขกก็ได้รับความสนใจจาก อินเตอร์ มิลาน และได้ย้ายไปสวมยูนิฟอร์มเนรัซซูรี่ในปี 2001 ก่อนจะคว้าแชมป์รายการสำคัญร่วมกับทีมงูใหญ่ไปถึง 10 รายการ (5 กัลโช่ เซเรียอา , 4 โคปปา อิตาเลีย , 1 ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก) พร้อมพาทีมชาติอิตาลีซิวแชมป์โลกในปี 2006 ในฐานะเซนเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักที่จับคู่กับ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ได้อย่างแข็งแกร่ง

 

ดิเอโก้ ฟอร์ลัน (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

 

 

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถึงขนาดลงทุนปาดหน้า มิดเดิ้ลสโบรห์ ชิงตัว ฟอร์ลัน มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเดือนมกราคมปี 2002 อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวต้องใช้เวลานานถึง 27 เกม หรือประมาณ 8 เดือน กว่าจะยิงประตูแรกให้กับปีศาจแดงได้ ก่อนที่ต่อมา เขาจะอำลาถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในช่วงซัมเมอร์ปี 2004

 

แต่กองหน้าชาวอุรุกวัย กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังย้ายไปล่าตาข่ายบนเวทีลาลีก้า โดยเจ้าตัวซัดไปถึง 155 ประตู ในตลอดช่วงเวลาที่ค้าแข้งกับ บียาร์เรอัล และ แอตเลติโก มาดริด พร้อมคว้ารางวัลรองเท้าทองคำมาครองถึง 2 หน ในฤดูกาล 2004-05 ที่ยิงไป 25 ประตู และฤดูกาล 2008-09 ที่ยิงไป 35 ประตู

 

หลุยส์ อัลแบร์โต้ (ลิเวอร์พูล)

 

 

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือของ ลิเวอร์พูล ในขณะนั้น ดูจะปลาบปลื้มกับการได้ตัวเด็กหนุ่มมากพรสวรรค์อย่าง อัลแบร์โต้ มาอยู่ด้วย พร้อมยกเขาขึ้นมาเทียบเคียงกับสตาร์ประจำทีมอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ หลังเจ้าตัวย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่บนถิ่น แอนฟิลด์ ในเดือนมิถุนายนปี 2013

 

อย่างไรก็ตาม จำนวนเงิน 6.8 ล้านปอนด์ ที่หงส์แดงจ่ายไปให้กับ เซบีย่า นั้นกลับกลายเป็นการลงทุนที่น่าผิดหวัง โดยแนวรุกชาวสแปนิชได้ลงสนามในลีกไปแค่ 9 นัด และยิงไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว แต่อย่างน้อย ฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวกับ ลาซิโอ้ ในปัจจุบัน ก็แสดงให้เห็นว่า ร็อดเจอร์ส ไม่ได้คิดผิดเกี่ยวกับตัวเขาแต่อย่างใด

 

อันเดร ครามาริช (เลสเตอร์ ซิตี้)

 

 

ครามาริช สร้างชื่อขึ้นมากับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง ริเยก้า ก่อนจะถูก เลสเตอร์ ซิตี้ คว้ามาเสริมแดนหน้าในเดือนมกราคมปี 2015 อย่างไรก็ตาม เขากลับล้มเหลวในการค้าแข้งบนถิ่น คิง พาวเวอร์ สเตเดียม และย้ายไปเล่นในบุนเดสลีก้ากับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในเดือนมกราคมปี 2016 ซึ่งนั่นทำให้เจ้าตัวพลาดการได้ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกกับจิ้งจอกสยามหลังจบซีซั่นดังกล่าว

 

“ผมไม่เสียใจเลย ผมได้เล่นใน แชมเปียนส์ ลีก ได้เล่นฟุตบอลโลก และ… ผมรู้สึกสบายใจกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่” กองหน้าชาวโครแอตเปิดใจหลัง เลสเตอร์ คว้าแชมป์ลีก

 

แม้ไม่รู้ว่าลึกๆแล้วหัวหอกหน้าหล่อจะคิดอย่างไร แต่การเดินทางมาโลดแล่นในเยอรมันก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะเจ้าตัวกลับมาอยู่ในฟอร์มที่โดดเด่นอีกครั้ง และซัดให้กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ไปแล้ว 59 ประตู จาก 133 นัดที่ลงสนาม