เกมนัดสำคัญชี้ชะตาศึกฟุตบอลถ้วยรายการน็อคเอาท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย อย่าง ช้าง เอฟเอ คัพ 2019 ระหว่าง การท่าเรือ เอฟซี และ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี กำลังจะลงสนามระเบิดความมันส์กันในวันเสาร์นี้
โดยก่อนเกมมีประเด็นที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการกลับลุ้นแชมป์รายการนี้อีกคร้ังของทีม “สิงห์เจ้าท่า” ในรอบ 10 ปี หรือขณะเดียวกันทางฝั่งขุนพล “ราชันมังกร” นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรของพวกเขาที่สามารถฝ่าฟันจนเข้ามาถึงเกมนัดชิงชนะเลิศในทัวร์นาเมนต์นี้ได้สำเร็จ
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเด็นให้ได้ติดตามกัน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่เกม ช้าง เอฟเอ คัพ นัดตัดสินแชมป์ในซีซั่นนี้ ระหว่างทั้งสโมสรจะเริ่มต้นขึ้น
“สิงห์เจ้าท่า” ลุ้นแชมป์ เอฟเอ คัพ ครั้งแรกในรอบ 10 ปี
เป็นการรอคอยที่ยาวนานไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับแฟนบอล “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ที่ต้องการเห็นทีมรักของพวกเขากลับมาคว้าแชมป์ให้ได้อีกครั้ง โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขามีถ้วยรางวัลติดมือต้องย้อนกลับไปในปี 2010 ซึ่งสามารถผงาดซิวแชมป์ ลีก คัพ ได้สำเร็จ
กระทั่งในฤดูนี้ ขุนพล “สิงห์คลองเตย” สามารถตบเท้าทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึก ช้าง เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ทศวรรษ ที่พวกเขาผ่านเข้ามาถึงเกมนัดตัดสินแชมป์ในรายการดังกล่าวเลยทีเดียว และยังเป็นโอกาสลุ้นมีถ้วยแชมป์ติดมือเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ของสโมสรอีกด้วย
โดยหนล่าสุดที่ การท่าเรือ เอฟซี เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึก เอฟเอ คัพ เกิดขึ้นในปี 2009 ซึ่งลูกทีมของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ เวลานั้น สามารถเอาชนะ บีอีซี เทโรศาสน ในการดวลจุดโทษ สอยถ้วยแชมป์ฟุตบอลถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ไปครองเป็นสมัยแรกของสโมสร
“ราชันมังกร” ทะลุเข้าชิง เอฟเอ คัพ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ถึงแม้ประวัติศาสตร์จะจารึกว่า ราชบุรี มิตรผล เอฟซี คือหนึ่งในสโมสรที่เคยได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าในความเป็นจริงพวกเขายังไม่เคยทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการดังกล่าวเลยแม้แต่หนเดียว
ย้อนกลับไปในปี 2016 การแข่งขันศึกฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ ต้องถูกยุติลงกลางคันแค่เพียงรอบรองชนะเลิศ เนื่องจากมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ส่งผลให้ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ตัดสินใจมอบแชมป์รายการดังกล่าวให้กับทั้ง 4 สโมสร ที่สามรถผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกได้สำเร็จ ได้แก่ ชลบุรี เอฟซี, ชัยนาท ฮอร์นบิล, สุโขทัย เอฟซี และ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี
อย่างไรก็ตามในซีซั่นนี้ ทัพ “ราชันมังกร” สามารถผ่านเข้ามารอบชิงชนะเลิศศึก เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ และแน่นอนว่าพวกเขามีเป้าหมายเดียวคือคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้เท่านั้น ซึ่งถ้าพวกเขาทำได้สำเร็จ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี จะกลายเป็นสโมสรลำดับที่ 16 ที่ผงาดสอยแชมป์ฟุตบอลถ้วยน็อคเอาท์ที่ยิ่งใหญ่สุดของเมืองไทยไปครองได้สำเร็จทันที
ศึกชิงตั๋วลุยศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก หนแรกของทั้งสองสโมสร
แน่นอนว่าในแมตช์ชิงชนะเลิศ ช้าง เอฟเอ คัพ ระหว่าง การท่าเรือ เอฟซี และ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี จะเป็นการตัดสินว่าใครกันที่จะสามารถซิวแชมป์ฟุตบอลถ้วยน็อคเอาท์ที่ใหญ่สุดในเมืองไทยไปครอง นอกจากนี้เกมนัดดังกล่าวยังเป็นการลุ้นโควต้าใบสุดท้ายสำหรับคว้าสิทธิ์ตีตั๋วลงเตะในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2020 อีกด้วย
เป็นที่รู้กันดีว่าศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ถือเป็นรายการฟุตบอลถ้วยระดับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย และถือเป็นเป้าหมายของทุกทีมที่จะได้มีโอกาสลงเตะในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวนี้ เช่นเดียวกับทั้งทัพ “สิงห์เจ้าท่า” และขุนพล “ราชันมังกร” ที่ยังไม่เคยสัมผัสการแข่งขันในถ้วยใบนี้เลย
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเป็นทางฝั่งของ การท่าเรือ เอฟซี หรือ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ที่จะสามารถคว้าแชมป์ ช้าง เอฟเอ คัพ ไปครองได้พร้อมตีตั๋วลงเตะในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ นี่จะเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ที่จะได้ลงประเดิมสนามในรายการดังกล่าว และจะต้องเริ่มลงเตะตั้งแต่ในรอบเพลย์ออฟ รอบที่สอง เลยทีเดียว
เปลี่ยนกันจนงง กว่าจะได้สังเวียนฟาดแข้งเกมนัดชิง เอฟเอ คัพ
เดิมที่เกมนัดชิงชนะศึก ช้าง เอฟเอ คัพ 2019 มีแผนจะลงฟาดแข้งกันที่ สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี เนื่องจาก ราชมังคลากีฬาสถาน กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนศึกฟุตบอล ชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ ไทย จะเป็นเจ้าภาพในต้นปีหน้า
ทว่าหลังจากนั้นทาง บริษัท ไทยลีก จำกัด ก็ตัดสินใจย้ายสนามที่จะใช้ลงเตะในเกมดังกล่าวไปอีกครั้งจาก สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี มาเป็น สนามกีฬากองทัพบก ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากทางฝั่ง ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ที่มองว่าพวกเขารู้สึกเสียเปรียบในเรื่องการเดินมากกว่าทางด้าน การท่าเรือ เอฟซี ซึ่งเป็นสโมสรที่ตั้งอยู่ใน กรุงเทพมหานคร อยู่แล้ว
กระทั่งท้ายที่สุดเรื่องราวทั้งหมดจบลง หลัง บริษัท ไทยลีก จำกัด ตัดสินใจเป็นหนที่ 3 ย้ายสนามแข่งจาก สนามกีฬากองทัพบก มายัง ลีโอ สเตเดี้ยม รังเหย้าของขุนพล “กระต่ายแก้ว” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ซึ่งเคยถูก ทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ใช้ลงเตะในเกมอุ่นเครื่องฟีฟ่าเดย์ นัดที่เสมอกับ คองโก 1 – 1 มาแล้ว เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
โดยสนามแห่งนี้จัดอยู่ในมาตราฐานระดับ เอ คลาส ที่ได้รับการรับรองโดยเอเอฟซี สามารถจุแฟนบอลได้มากถึง 10,100 ที่นั่ง นอกจากเคยใช้ลงเตะในเกมระดับทีมชาติชุดใหญ่แล้ว ลีโอ สเตเดี้ยม ยังเคยถูกใช้เป็นรังเหย้าของขุนพล “เดอะแรบบิท” ในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ เมื่อปี 2015 มาแล้วอีกด้วย
ฟุตบอลไทยประเดิมใช้ VAR เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการ
หากย้อนกลับช่วงต้นฤดูกาลในศึก โตโยต้า ไทยลีก 2019 ทาง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ตัดสินใจนำระบบผู้ช่วยผู้ตัดสิน หรือ VAR มาทดลองใช้งาน ซึ่งถือว่าได้ผลตอบรับที่ดีจากแฟนบอลไม่น้อยเลยที่เดียว นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกมการแข่งขันมีการตัดสินที่เป็นธรรมกับทุกทีมมากขึ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน ทางสมาคมฟุตบอลได้ตัดสินใจยุติการใช้งานระบบดังกล่าวไว้ชั่วคราว หลังพบปัญหาการใช้งานต่างๆที่เกิดขึ้น ตลอดช่วงเวลาที่ได้ทดลองกับเกมการแข่งขันจริง และได้นำมาวิเคราะห์ปรับปรุงแก้ไขให้พร้อมสำหรับการใช้งานแบบเต็มรูปแบบตามมาตรฐานระดับสากล
จนในที่สุดมีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า VAR จะถูกนำกลับมาใช้ในวงการฟุตบอลไทยแบบเต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการ ในศึก ช้าง เอฟเอ คัพ ระหว่าง การท่าเรือ เอฟซี และ ราชบุรี มิครผล เอฟซี ซึ่งแน่นอนว่านี่ถือเป็นอีกมิติใหม่ของวงการฟุตบอลบ้านเราเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้การใช้ VAR ในเกมดังกล่าว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมนำร่องก่อนที่ VAR จะถูกนำมาใช้ในศึก โตโยต้า ไทยลีก ในซีซั่น 2020 อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการมีระบบ VAR มาใช้ในเกมชี้ชะตาแชมป์รายการนี้ น่าจะเป็นไฮไลค์ที่สำคัญไม่แพ้รูปเกม และนักเตะของทั้งสองทีมแน่นอน