ฌอน มาโลนี่ย์ : จากแข้งใฝ่รู้สู่ผู้ช่วยมือดีในทีมชาติเบลเยี่ยม

 

ขณะที่ทีมบ้านเกิดของตนเองสุ่มเสี่ยงที่จะพลาดโอกาสไปโชว์ฝีเท้าในศึกยูโร 2020 รอบสุดท้าย แต่ ฌอม มาโลนี่ย์ คือชาวสก็อตคนเดียวที่ได้รับการันตีว่าเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับรายการนี้อย่างแน่นอน

 

 ในสมัยค้าแข้ง เขาหมดหวังกับการพาทีมแดนวิสกี้เข้าไปโชว์ฝีเท้าในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ แต่ใครจะไปรู้ว่า 2 ปีหลังจากที่แขวนสตั๊ดกับ ฮัลล์ ซิตี้ ในวัย 36 ปี เขาจะกลายเป็นหนึ่งในสต๊าฟโค้ชของทีมระดับโลก

 

มาโลนี่ย์ทำงานในทีมชาติเบลเยี่ยม ร่วมกับ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ เฮดโค้ช ซึ่งมองว่าปรัญชาลูกหนังของเขาและหัวหน้าค่อยเติบโตขึ้นไปตามลำดับ โดยได้อิทธิพลมาจากเซลติกชุดแชมป์ยุโรป, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของ แมตต์ บัสบี้, โยฮัน ครัฟฟ์ ในอาแจ็กซ์, และ บาร์เซโลน่าในมือของนักเตะเทวดาและ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

 

UFA ARENA จะพาไปรู้จักกับอดีตตัวรุกของทีมชาติสก็อตแลนด์ ร่วมไปถึงการร่วมงานกับ มาร์ติเนซ ทั้งตอนเป็นนักเตะหรือโค้ช และเป้าหมายของเขาในการเป็นยอดกุนซือหลังจบจากสถาบันลูกหนังของโยฮัน ครัฟฟ์ ผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

 

แข้งผู้ชอบเรียนรู้ประวัติศาสตร์ลูกหนัง

 

 

การที่ มาร์ติเนซ อธิบายว่าทำไมเขาถึงดึงอดีตแข้งชาวสก็อตเข้าเป็นผู้ช่วยร่วมกับ อดีตกองหน้าอาร์เซน่อลและทีมชาติฝรั่งเศสอย่าง เธียร์รี่ อองรี เมื่อปีที่แล้ว น่าจะบ่งบอกถึงมันสมองของมาโลนี่ย์ได้เป็นอย่างดี

 

ในช่วงที่กุนซือชาวสแปนิชยังคงเล่นฟุตบอลอาชีพกับ มาเธอร์เวลล์ ช่างบังเอิญที่ดันอยู่ในช่วงที่ มาโลนี่ย์ ก้าวขึ้นเป็นตัวหลักของเซลติกพอดี และเขาก็คิดว่าดาวรุ่งสก็อตวัย 18 ปี ‘มีการหาช่่องว่างกับเทคนิคที่ยอดเยี่ยม’ ทำให้ดูแตกต่างจากนักเตะในระบบลูกหนังของชาวบริติชทั่วไป

 

แต่ถึงอย่างนั้น มาโลนีย์ก็เกิดในประเทศมาเลเซียและเติบโตที่นั่น ก่อนที่พ่อชาวสก็อตและแม่ชาวอังกฤษจะพาเขาย้ายมาอยู่ที่ อเบอร์ดีน ตอนอายุได้ 5 ขวบ ทำให้เขาได้ผ่านโลกและประสบการณ์ต่างๆมามากกว่านักเตะทั่วไป และหลังจากที่มาร์ติเนซ ดึงเขามาร่วมทีมวีแกน แอธเลติด ก็พบว่ามาโลนี่ย์เป็นนักเตะที่มีความคิดลึกซึ้งด้วย

 

“ผมสนุกกับประวัติศาสตร์ของเกม แม้ว่าเมื่อตอนนั้นผมยังเป็นเด็กอยู่ก็ตาม ซึ่งเป็นยุคที่แตกต่างกันออกไป” อดีตแข้งวัย 36 ปี กล่าวผ่าน BBC “ที่เซลติก คุณเติบโตมากับทีมชุดสิงห์ลิสบอนและแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1967”

 

“มันสุดยอดมากที่ได้เห็นฟุตเทจบางช่วง จากนั้นก็ทีมของ บัสบี้, อาแจ็กซ์ในยุค 70, บาร์เซโลน่าภายใต้การคุมทีมของ ครัฟฟ์ และจากนั้นก็กวาร์ดิโอล่า ซึ่งนั่นเป็นปรัญชาเดียวกัน และโรแบร์โต้ก็เติบโตมาแบบนั้นเช่นกัน”

 

 

สไตล์การเล่นที่โหยหา

 

 

มาโลนี่ย์สร้างชื่อด้วยการติดทีมชาติสก็อตแลนด์, คว้าแชมป์สก็อตติช 5 สมัย และบอลถ้วยอีก 8 สมัยในช่วง 2 ครั้งที่ค้าแข้งกับเซลติก,ได้เล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษกับ แอสตัน วิลล่า 18 เดือน ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับ วีแกน

 

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า “เมื่อตอนที่ผมร่วมงานกับโรแบร์โต้ ในฐานะผู้เล่น มันเหมือนกับมีไฟขึ้นมา ผมรู้ว่ามีวิธีเล่นแบบที่ทีมอื่นมีอยู่ ตอนนี้ผมมีผู้จัดการทีมต้องการให้ทีมเล่นแบบนั้นแล้ว”

 

วิธีนั้้นก็คือ ‘Positional play’ สไตล์การเล่นเน้นการครองบอลโดยที่ทุกคนจะต้องวิ่งทำทางเพื่อสร้างความได้เปรียบให้เหนือกว่าคู่ต่อสู้ บอลจะถูกถ่ายไปมาระหว่างหลายผู้เล่นรวมถึงคนที่ไม่มีบอลจะต้องวิ่งหาช่องเพื่อเพิ่มทางเลือกในการจ่ายบอลเพื่อสร้างความได้เปรียบในสนามให้มากที่สุด

 

รากฐานของการเล่นแบบนี้มีการโต้เถียงกันว่ามาจากบอลอิตาเลียนที่เรียกว่า ‘Giochi di Posizione ’ และที่ชาวดัตช์เรียกว่า ‘Positiespel’ กันแน่ บ้างก็บอกว่ามันถูกปรับมาจากการสอนของโค้ชแฮนด์บอลทีมบาร์เซโลน่า แต่กวาร์ดิโอล่าคือกุนซือที่ประสบความสำเร็จในการใช้แผนนี้มากที่สุดทั้งกับอาซูลกราน่า, บาเยิร์น มิวนิค และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ในตอนนี้

 

“ผมชื่นชมมากๆสำหรับทีมเล่นในวิธีที่ต่างออกไป” มาโลนี่ย์กล่าว “มันไม่มีวิธีเฉพาะเจาะจงในการคว้าชัยชนะหรอก”

 

“เลสเตอร์คว้าแชมป์ลีกด้วยการเล่นแบบสวนกลับ ซึ่งมันได้ผลดี แต่การเล่นแบบยืนตำแหน่งเป็นสไตล์ที่สร้างแรงบัลดาลใจให้ผม ผมคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคว้าชัย และเป็นวิธีที่ดูดึงดูดและตื่นเต้นที่สุดด้วย”

 

ด้วยความสูงแค่ 170 เซนติเมตร ทำให้มาโลนี่ย์เหมาะกับการต่อบอลจากเท้าสู่เท้าที่ว่องไว และไม่แปลกใจว่าสไตล์การคมุทีมแบบนี้ค่อยๆซึมซับเข้าไปในตัวเขา ตั้งแต่เป็นนักเตะดาวรุ่งของเซลติก จนกระทั่งกลายเป็นผู้ช่วยคู่ใจของมาร์ติเนซในทีมชาติเบลเยี่ยม

 

“โรแบร์โต้เป็นคนที่ดี และคนที่ยอดเยี่ยมมากในฐานะเฮดโค้ช/ผู้จัดการทีม” มาโลนี่ย์กล่าว “การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ เป็นอะไรที่เหลือเชื่อ อีกทั้งสไตล์การเล่นก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ สวอนซี, วีแกน, เอฟเวอร์ตัน หรือเบลเยี่ยม”

 

“มันเป็นปีที่สุดยอดมากที่ผมอยู่ที่นั้นและสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเขานั้นยอดเยี่ยมมาก”

 

 

เข้าร่วมสถาบันของครัฟฟ์

 

 

ขณะที่อยู่ในกลาสโกว ความต้องการจะเรียนรู้ของมาโลนี่ย์ได้นำพาให้เขาไปที่อาร์เน่มและอัมสเตอร์ดัม เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมกับสถาบันลูกหนังที่ก่อตั้งโดยอดีตแข้งทีมชาติฮอลแลนด์อย่าง ครัฟฟ์ และศึกษาการเป็นผู้นำรุ่นใหม่ในการจัดการด้านกีฬา

 

“คอร์สที่ผมกำลังทำอยู่หมายความว่าคุณสามารถเรียนรู้จากกีฬาต่างชนิดและมันช่วยเปิดใจของผมสำหรับแนวทางการฝึกสอน” อดีตแข้งชาวสก็อตกล่าว “มันต้องใช้ความพยายามมากในการเรียนรู้เลยล่ะ”

 

“มันคือปริญญาโทด้านการฝึกสอน และมันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอด ผมเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์และหวังว่าผมจะเรียนจบในเดือนพฤษภาคม มีอาจารย์จากกีฬาต่างๆที่มาพร้อมกับไอเดียที่แตกต่างในการฝึกสอน และมันช่วยเปิดหูเปิดตาผมมากๆ”

 

มาโลนี่ย์อาจจะไม่ใช่คนที่แสดงออกอะไรมากนัก แต่ความต้องการขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆคงทำให้เขาก้าวเข้ามาในเส้นทางอย่างปัจจุบันนี้

 

“เมื่อตอนที่ผมอยู่กับทีมเยาวชนของเซลติกได้ปีนึง ผมก็มีความคิดและเส้นทางที่ผมต้องการจะไป และจะไปที่นั่นได้อย่างไร และจากนั้นในช่วง 12 เดือน โรแบร์โต้ก็โทรมาหาผมและชวนผมไปร่วมงานด้วย” เขากล่าว “ดังนั้น นั่นจึงไม่ใช่เส้นทางที่ผมคาดถึงเลย”

 

“ผมมีความสุขมากๆกับบทบาทในตอนนี้ และมีความมุ่งมั่นที่ทำงานตรงนี้ให้เต็มที่เท่าที่ทำได้ และผมอยู่กับเบลเยี่ยมมา 2 ปีแล้ว หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้วางแผนอะไรเฉพาะเจาะจงแล้วล่ะ”

 

 

สิ่งที่แตกต่างของแข้งเบลเยี่ยมและสก็อต

 

 

จากคัมป์นู สู่ แอนฟิลด์, บุนเดสลีก้า สู่ เซเรียอา มาโลนี่ย์ได้เดินทางไปทั่วโลกในช่วงพักเบรกทีมชาติเพื่อตามประเมินผลและเช็กฟอร์มดาวรุ่งชาวเบลเยี่ยม ก่อนจะช่วยให้มาร์ติเนซมั่นใจได้ว่าทีมของเขามีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจในวันแข่งขัน

 

ขณะที่ทีมที่เขาร่วมงานด้วยรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของกลุ่มแบบคว้าชัยได้ 100 เปอร์เซนต์ มาโลนี่ย์ก็คงจะเจ็บใจไม่น้อยที่เห็น สก็อตแลนด์ หลุด 2 อันดับแรกในการเข้าไปเล่นยูโร 2020 รอบสุดท้าย และทางออกที่ดูเป็นไปได้ที่สุด ณ ตอนนี้ คือการคว้าตั๋วไปเล่นจากการเพลย์ออฟเท่านั้น

 

เมื่อถูกถามว่า ทีมแดนวิสกี้สามารถเรียนรู้อะไรจากเบลยี่ยม  เขาตอบกลับว่า “นักเตะที่ผมเล่นด้วยในสก็อตแลนด์นั่นมีจิตใจที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อผมเห็นทีมเบลเยี่ยมในแต่ละวันและเมื่อได้เห็นในแมตช์การแข่งขัน ความชาญฉลาดด้านแทคติกและเทคนิคการเล่นคือสิ่งที่ถูกเพิ่มขึ้นมา”

 

“สิ่งหนึ่งที่ประทับใจผมก็คือด้านจิตใจ ไม่ว่าอากาศ,สภาพ, คู่แข่งจะเป็นอย่างไร พวกเขาใส่เต็มร้อยเสมอในทุกๆวัน“

 

มาโลนี่ย์ ยังเชื่อมั่นว่า สตีฟ  คล้าก กุนซือทีมแดนวิสกี้คนปัจจุบัน จะช่วยให้ทีมดีขึ้นได้ แต่ก็แนะนำให้สมาคมลูกหนังในบ้านเกิดช่วยเหลือเหล่ากุนซือหน้าใหม่ด้วยการแนะนำความรู้จาก กุนซือชั้นครูในยุคก่อน เช่น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, กอร์ดอน สตรัคคั่น และ วอลเตอร์ สมิธ

 

อย่างไรก็ดี มาโลนี่ย์ก็ยังไม่ได้คิดไกลถึงขั้นสร้างศูนย์การศึกษา ณ บ้านเกิดของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้

 

“มันเป็นงานที่สุดยอดจริงๆ แต่นั่นไกลเกินกว่าที่คิดถึงมัน แข่งขันในยูโรรอบสุดท้ายปีหน้าและเตรียมตัวสำหรับเรื่องนั้น นั่นคือสิ่งที่ไกลที่สุดเท่าที่ผมจะมองในตอนนี้”