หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อน เราได้พาทุกท่านไปดูการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของบรรดาทีมบิ๊ก 6 ในรอบทศวรรษกันแล้ว คุ้มทุกปอนด์! 6 การซื้อตัวที่ดีที่สุดของทีมบิ๊ก 6 ในรอบทศวรรษ … ต่อจากนี้ คือการซื้อตัวที่ล้มเหลวที่สุดของพวกเขาในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
อาร์เซน่อล : อังเดร ซานโตส (6.2 ล้านปอนด์, 2011)
ซานโตส ย้ายจาก เฟเนร์บาห์เช่ มาร่วมทีม อาร์เซน่อล ในช่วงซัมเมอร์ปี 2011 และไม่ได้ฝากช่วงเวลาที่น่าจดจำเอาไว้เลยกับการค้าแข้งในลอนดอนเหนือ
ตลอดสองฤดูกาลในสีเสื้อทีมปืนใหญ่ แบ็คซ้ายบราซิเลี่ยน ได้รับโอกาสออกสตาร์ทในพรีเมียร์ลีกไปเพียงแค่ 13 นัดเท่านั้น ก่อนที่จะถูกปล่อยกลับบ้านเกิดไปในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013
หากจะให้หาช่วงเวลาที่ ซานโตส เป็นที่จดจำมากที่สุด ก็คงเป็นเหตุการณ์ที่เจ้าตัวเดินเข้าไปขอแลกเสื้อกับบุคคลที่เหล่ากูนเนอร์สทั้งรักทั้งชังอย่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ในช่วงพักครึ่งของเกมที่ อาร์เซน่อล บุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2012-13
เชลซี : ติมูเอ้ บากาโยโก้ (40 ล้านปอนด์, 2017)
บากาโยโก้ ย้ายมาเข้าร่วมกับ เชลซี หลังจากเพิ่งผ่านฤดูกาลอันสวยงามกับ โมนาโก อย่างไรก็ตาม เขากลับพุ่งชนความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในช่วงเวลาที่ค้าแข้งบนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์
กองกลางเฟรนช์แมน มักจะถูกโยนให้เป็นแพะรับบาปอยู่เสมอเมื่อทีมทำผลงานได้ไม่ดีนัก แต่หากจะบอกว่าเจ้าตัวไม่มีส่วนเลยก็คงไม่ใช่ เนื่องจากเขาเล่นได้ธรรมดาเกินไป ทั้งยังค่อนไปทางแย่ด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านไปหนึ่งซีซั่น ดาวเตะเลือดน้ำหอมก็โดนปล่อยไปให้กับ เอซี มิลาน ยืมตัว ก่อนที่จะถูกอดีตต้นสังกัดอย่าง โมนาโก เช่ามาใช้งานในฤดูกาลนี้ ซึ่งในอนาคต ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า บากาโยโก้ จะยังมีโอกาสได้เล่นในนามสิงโตน้ำเงินครามอีกครั้งหรือไม่
สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง : ลิเวอร์พูล (20 ล้านปอนด์, 2011)
เมื่อเราเปรียบเทียบการเซ็นสัญญากับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มันก็ทำให้เห็นได้ชัดว่า ลิเวอร์พูล มาไกลขนาดไหนจากตอนที่พวกเขาคว้าตัว ดาวนิ่ง มาจาก แอสตัน วิลล่า
อดีตปีกทีมชาติอังกฤษ เป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลบางคนอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมาลากเลื้อยบนถิ่น แอนฟิลด์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาปรากฏตัวในยูนิฟอร์มหงส์แดงไปถึง 91 นัด ในตลอดระยะเวลาสองฤดูกาลที่โลดแล่นกับทีม
อย่างไรก็ตาม สถิติที่น่าตกใจของ ดาวนิ่ง ก็คือในซีซั่นแรกกับ ลิเวอร์พูล เจ้าตัวได้รับโอกาสลงสนามในพรีเมียร์ลีกไปถึง 36 นัด แต่กลับไม่สามารถยิงประตูได้เลยสักลูก หรือทำแอสซิสต์ได้เลยสักครั้งเดียว
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : แจ็ค ร็อดเวลล์ (12 ล้านปอนด์, 2012)
ร็อดเวลล์ ถือเป็นนักเตะสัญชาติอังกฤษอีกหนึ่งราย ที่ไม่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่เรียกว่า “ความคาดหวัง” ในการค้าแข้งกับสโมสรใหญ่ได้
หลังย้ายมาจาก เอฟเวอร์ตัน อดีตวอนเดอร์คิดแห่งวงการลูกหนังเมืองผู้ดีได้มีโอกาสลงสนามไปเพียงแค่ 25 นัดเท่านั้น ในตลอดระยะเวลาสองฤดูกาลที่อยู่กับ ซิตี้ ก่อนที่จะถูกเลหลังไปให้กับ ซันเดอร์แลนด์ ในเวลาต่อมา
เส้นทางการค้าแข้งของ ร็อดเวลล์ ดิ่งลงอย่างน่าใจหายที่รังเรือใบสีฟ้า และในซีซั่นสุดท้ายกับทีมแมวดำ เจ้าตัวตกอับถึงขนาดต้องลงไปเล่นให้กับทีม U23 ซ้ำยังถูกยกเลิกสัญญาเพื่อลดภาระค่าเหนื่อยอีก ซึ่งสาเหตุสำคัญที่เป็นเช่นนั้น ก็มาจากสภาพร่างกายของเขาเองที่ช่างเปราะบางเหลือเกิน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : อเล็กซิส ซานเชซ (แลกเปลี่ยนกับ เฮนริค มคิทาร์ยาน, 2018)
น่าเศร้าที่ อเล็กซิส เป็นทั้งการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดในรอบทศวรรษนี้ เจ้าตัวเป็นดั่งเทพเจ้าในสีเสื้อ อาร์เซน่อล แต่กลับพินาศย่อยยับในช่วงเวลาบนถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาสำคัญอยู่ที่ค่าเหนื่อยอันสูงลิบของสตาร์ทีมชาติชิลี โดยรายงานระบุว่ารวมๆแล้ว เจ้าตัวอาจได้เกินกว่า 500,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เลยทีเดียว ซึ่งมันคงไม่น่าเสียดายเท่าไหร่หากเขาสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างสมัยที่ผงาดกับ เดอะ กันเนอร์ส
นอกจากนี้ นับตั้งแต่ที่ย้ายมาเล่นให้กับปีศาจแดง อดีตดาวเตะบาร์เซโลน่าก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งตอนนี้ที่อยู่กับ อินเตอร์ มิลาน เจ้าตัวก็ยังมาได้รับบาดเจ็บหนักที่ข้อเท้าอีกต่างหาก
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ : วินเซนต์ แยนส์เซ่น (17 ล้านปอนด์, 2016)
เมื่อตอนที่ แยนส์เซ่น มาถึง สเปอร์ส กุนซือของทีมอย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ถึงกับบอกว่าเขาได้เพชฌฆาตในกรอบเขตโทษที่ไก่เดือยทองจำเป็นต้องมีแล้ว
แต่หลังจากผ่านไป 3 ปี กองหน้าดัตช์แมนกลับถูกส่งลงสนามในพรีเมียร์ลีกไปเพียง 31 นัด และซัดให้กับต้นสังกัดได้แค่ 2 ลูกเท่านั้น
ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งคงต้องโทษ แฮร์รี่ เคน ด้วย ที่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาตั้งแต่ปี 2015 แต่ถึงกระนั้น หัวหอกจากแดนกังหันก็ต้องโทษตัวเองเช่นกัน เพราะเขาก็ไม่ได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจเลยเมื่อโอกาสโชว์ฝีเท้ามาถึง