ดีกรีดีทุกราย! 8 แข้งระดับโลกเคยลงเล่นลีกอาเซียน

 

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า อดีตศูนย์หน้าตัวเก่งของทีมชาติเยอรมัน ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ที่เคยค้าแข้งอยู่กับสโมสรดังทั้ง อาร์เซน่อล และ บาเยิร์น มิวนิค อย่าง ลูคัส โพดอลสกี้ กำลังให้ความสนใจที่จะย้ายมาอยู่กับ ยะโฮร์ ดารุล ตักซิม ทีมแก่งในศึก มาเลเซีย ซุปเปอร์ลีก ตามคำยืนยันของประธานสโมสร เจ้าชายตุนกู อับดุล ราห์มาน สุลต่าน อิบราฮิม แห่งรัฐยะโฮร์

 

ลูคัส โพดอลสกี้ ถือเป็นนักเตะที่เคยผ่านการค้าแข้งในสังเวียนระดับโลกมาแล้มากมายทั้งในนามสโมสร และทีมชาติ อย่างไรก็ตามเจ้าตัวไม่ใช่นักเตะชื่อดังรายแรก ที่ได้รับโอกาสย้ายมาลงเล่นฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

โดยก่อนหน้านี้นักเตะระดับโลกอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และ ปาโบล ไอมาร์ เคยผ่านการลงเล่นในลีกของอาเซียน มาแล้ว นอกจากนี้ยังมีดาวเตะชื่อดังอีกหลายคนที่เคยผ่านการลงสนามในศึกฟุตบอลอาชีพโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาแล้วเช่นเดียวกัน

 

มาริโอ เคมเปส – เปริต้า จาย่า

 

อดีตดาวยิงตัวเก่งชาวอาร์เจนไตน์ เป็นที่รู้จักันดีในสมัยที่เขาค้าแข้งอยู่กับ บาเลนเซีย และเคยคว้าตำแหน่งดาวซันโว ลาลีกา สเปน ได้ถึง 2 ครั้ง ขณะที่ผลงานโดยรวมกับสโมสรเจ้าตัวลงสนามไปถึงหมด 184 เกมในลีก ยิงไป 116 ประตู

 

ส่วนระดับทีมชาติ เคมเปส คือหนึ่งในแกนหลักของทีมชาติอาร์เจนติน่า ชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1978 และเขาเป็นคนที่ยิง 2 ประตู ให้ทีม “ฟ้าขาว” เอาชนะ เนเธอร์แลนด์ 3 – 1 ในเกมนัดชิงชนะเลิศด้วย พร้อมกับคว้ารางวัลร้องเท้าทองคำ จากตำแหน่งดาวซันโว นอกจากนี้อดีตแข้งทีม “ค้างคาว” ยังได้รับรางวัลลูกบอลทองคำ หลังถูกเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ซึ่งนั่นส่งผลให้เขาเป็นกลายเป็น 1 ใน 3 นักเตะ ที่สามารถคว้าครบทั้ง 3 โทรฟี่ ในศึกฟุตบอลโลก หนเดียวกันได้สำเร็จ

 

โดยในปี 2014 เขาถูกเสนอชื่อให้เป็น 1 ใน 125 นักเตะ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดการในวงการฟุตบอล เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 100 ปี ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA)

 

สำหรับ มาริโอ เคมเปส เคยย้ายมาอยู่กับ เปริต้า จาย่า (มาดูร่า ยูไนเต็ด เอฟซี ในปัจจุบัน) สโมสรบนลีกสูงสุดของอินโดนีเซีย ในฐานะผู้เล่น และผู้จัดการทีม เมื่อซีซั่น 1995 – 1996 และสามารถยิงประตูให้ทีมไปได้ถึง 12 ลูก จากการลงเล่น 18 นัดในลีก

 

 

โรเจอร์ มิลล่า – เปริต้า จาย่า และ เปอร์ซิซัม ปูตรา ซามารินดา

 

อดีตนักเตะของ โมนาโก, แซงต์ เอเตียน และ มงต์เปลลิเย่ร์ ศูนย์หน้าระดับตำนานที่ยิงไปถึง 4 ประตู ในศึกฟุตบอลโลก 1990 ด้วยวัย 38 ปี และพาทีม แคเมอรูน ทะลุเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวได้สำเร็จ ซึ่งพวกเขาถือเป็นชาติแรกของทวีปแอฟริกา ที่สามารถตบเท้าเข้ามาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในศึกฟุตบอลโลก อีกด้วย

 

หลังจากนั้นอีก 4 ปี ต่อมา โรเจอร์ มิลล่า ในวัย 42 ปี ทุบสถิติกลายเป็นนักเตะอายุมากสุดที่ทำประตูในเกมฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย หลังเขายิงได้ในเกมที่พบกับ รัสเซีย ในศึก เวิลด์ คัพ ปี 1994 นอกจากนั้นเจ้าตัวยังเคยคว้าแชมป์รายการ แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ ได้อีก 2 สมัย ในปี 1984 และ 1988

 

สำหรับ มิลล่า เขาเคยใช้เวลาถึงสองปีค้าแข้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งสโมสรแห่งแรกอยู่กับ เปริต้า จาย่า เมื่อซีซั่น 1994 – 1995 โดยเจ้าตัวลงสนามไปทั้งหมด 23 นัด ยิงไป 23 ประตู ก่อนฤดูกาลถัดมาย้ายไปอยู่กับ เปอร์ซิซัม ปูตรา ซามารินดา และลงสนามให้ทีมไป 12 นัด พร้อมกับส่งลูกบอลเข้าไปสู่กดตาข่ายไปถึง 18 ลูก

 

 

เดนิลสัน – ไฮฟอง เอฟซี

 

เดนิลสัน ใช้เวลาวาดลวดลายค้าแข้งฟุตบอลอาชีพยาวนานกว่า 16 ปี เคยอยู่กับทีมดังอย่าง เซาเปาโล และ เรอัล เบติส พร้อมกับเคยทุบสถิติเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกมาแล้ว ตอนที่เจ้าตัวย้ายจากบราซิล มาเล่นใน ลาลีกา สเปน ด้วยค่าตัวสูงถึง 21.5 ล้านปอนด์ ในปี 1998

 

ส่วนความสำเร็จที่เจ้าตัวเคยได้รับในระดับทีมชาติ เดนิลสัน ลงสนามใหกับทีมชาติบราซิล ไปทั้งหมด 61 นัด ยิงไป 8 ประตู เคยพาทีม “แซมบ้า” คว้าแชมป์ โคปา อเมริกา ปี 1997, คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ปี 1997 และฟุตบอลโลก ปี 2002 หลังจากที่เคยได้รองแชมป์ในรายการดังกล่าวเมื่อปี 1998 มาแล้ว

 

นอกจากนี้ เดนิลสัน ยังเคยย้ายมาค้าแข้งกับสโมสรของ เวียดนาม อย่าง ไฮฟอง เอฟซี ด้วยค่าตัว 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2009 ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดตลอดการของศึก วี ลีก อีกด้วย โดยเกมแรกของเจ้าตัวในการลงสนามให้กับทีมเกิดขึ้นในแมตช์ที่พบกับ ฮอง อันห์ ยาลาย ซึ่งอดีตแข้งทีมชาติบราซิล ชุดแชมป์โลก สามารถซัดประตูจากลูกยิงฟรีคิกให้กับทีม หลังเกมออกสตาร์ทไปได้แค่เพียง 2 นาที เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เดนิลสัน ต้องหายหน้าจากทีมไปถึง 3 สัปดาห์เต็ม และลงสนามให้กับ ไฮฟอง เอฟซี ได้อีกแค่เกมเดียวเท่านั้น เนื่องจากมีปัญหาอาการเจ็บเล่นงาน

 

 

ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ – เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด

 

อดีตศูนย์หน้าตัวเป้าที่ความเฉียบขาดในการจบสกอร์ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เป็นที่รู้จักอย่างดีในช่วงเวลาที่เขาลงสนามค้าแข้งให้กับทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่ยิงมากที่สุดในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อันดับ 7 ด้วยจำนวน 163 ลูก นอกจากนี้เจ้าตัวยังเคยใช้เวลา 2 ปี ค้าแข้งอยู่กับ ลีลล์ ยูไนเต็ด และอีก 3 ปี อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาแล้ว

 

ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เคยลงสนามในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้กับ ลิเวอร์พูล ทั้งหมด 266 นัด และยิงประตูไปถึง 128 ลูก มีส่วนสำคัญพายอดทีมแห่งเมืองเมอร์ซี่ไซด์ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ทั้งถ้วย ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ เมื่อปี 2001

 

กระทั่งเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 2011 ฟาวเลอร์ ได้เซ็นสัญญาเข้ามาเป็นนักเตะใหม่กับสุดยอดสโมสรของไทย อย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ในฐานะนักเตะ และผู้จัดการทีม แทนทีของ เอ็นริเก้ คาลิสโต้ อดีตกุนซือทีม “กิเลยผยอง” ที่เพิ่งโดนปลดออกจากทีมไปก่อนหน้านั้น

 

โดย ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ลงสนามให้กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด 13 เกม ยิงไป 2 ประตู ก่อนที่เข้าจะแยกทางกับสโมสรเดินทางกลับอังกฤษ และประกาศแขวนสตั๊ดในเวลาต่อมา

 

 

ปาโบล ไอมาร์ – ยะโฮร์ ดารุล ตักซิม

 

จอมเทคนิค และกองกลางตัวรุกสร้างสรรค์เกม ปาโบล ไอมาร์ เคยถูกยกย่องจากเพื่อนร่วมชาติ อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ว่าเป็นหนึ่งในแข้งที่มีอิทธิพลมากที่สุดกับตัวเขาในฐานะนักเตะ ไอมาร์ ลงเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนติน่า บ้านเกิดไปทั้งหมด 52 เกม และเคยผ่านการลงฟาดแข้งในศึกฟุตบอลโลก 2002 และ 2006 มาแล้ว

 

ภายหลังจากที่ได้โอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่ของ ริเวอร์ เพลท เมื่อปี 1996 เขาได้ย้ายมาลงเล่นในศึก ลาลีกา สเปน และลงสนามไปทั้งหมด 215 นัด พร้อมกับยิงไป 32 ตลอด 8 ซีซั่น กับทั้ง บาเลนเซีย และ รีล ซาราโกซ่า ช่วงระหว่างปี 2001 – 2008 หลังจากนั้น ไอมาร์ ใช้เวลาอีก 5 ปี บนลีกสูงสุดของโปรตุเกส กับ เบนฟิก้า โดยเจ้าตัวสามารถพาทีมคว้าแชมป์ในระดับเมเจอร์ได้ถึง 9 รายการ จากทั้ง 3 สโมสร ที่เคยค้าแข้งมา

 

ปาโบล ไอมาร์ ตัดสินใจย้ายเข้าไปเป็นนักเตะของทีมดังใน มาเลเซีย อย่าง ยะโฮร์ ดารุล ตักซิม เมื่อปี 2013 และกลายเป็นนักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดตลอดการของศึก มาเลเซีย ซุปเปอร์ลีก ทันที เขาได้รับโอกาสลงสนามให้กับทีมไปทั้งหมด 8 นัด และยิงไป 2 ประตู ก่อนเจอปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงาน จนทำให้ต้องถูกปล่อยตัวออกจากทีมในท้ายที่สุดช่วงเดือนเมษายน ปี 2014 อย่างไรก็ตามเจ้าตัวยังได้รับเหรียญรางวัลชนะเลิศกับสโมสร หลัง ยะโฮร์ ดารุล ตักซิม สามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จหลังจบฤดูกาลนั้น

 

 

ดาเนียล กิซ่า – ยะโฮร์ ดารุล ตักซิม

 

เพชฌฆาตเลือดกระทิงดุ อย่าง ดาเนียล กิซ่า เคยสร้างชื่อให้ตัวเองมาแล้วในวัย 27 ปี ด้วยกวาดผงาดคว้าตำแหน่งดาวซันโว ลาลีกา สเปน หลังซัดให้กับ มายอร์ก้า ไปถึง 27 ประตู พร้อมกับมีส่วนช่วยทีมชาติสเปน สอยแชมป์ฟุตบอลยูโร 2008 มาครองได้อีกด้วย

 

นอกจากนั้นตลอด 8 ฤดูกาลของ ดาเนียล กิซ่า สำหรับการค้าแข้งบนลีกสูงสุดของสเปน เจ้าตัวลงสนามไปทั้งหมด 141 นัด และยิงไปได้ถึง 52 ประตู ให้กับทั้ง มายอร์ก้า และ เกตาเฟ่

 

ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2012 กิซ่า ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับทีมในศึก มาเลเซีย ซุปเปอร์ลีก อย่าง ยะโฮร์ ดารุล ตักซิม ด้วยสัญญายืมตัวยาว 1 ปี ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีโปรไฟล์ประสบความสำเร็จสวยหรูที่สุดของลีกในเวลานั้นเลยทีเดียว ดาเนียล กิซ่า ลงสนามให้กับยอดทีม “พยัคฆ์แดนใต้” ไปทั้งหมด 13 นัดรวมทุกรายการ พร้อมกับยิงประตูให้กับสโมสรไป 8 ลูก

 

 

ปิแอร์ เอ็นแยนก้า – หลายสโมสรใน อินโดนีเซีย

 

อดีตปราการหลังทีมชาติแคเมอรูน เคยค้าแข้งอยู่กับสโมสรฝรั่งเศส อย่าง อาร์ซี สตารส์บูร์ก, ซีเอส เซอด็อง และ เอฟซี อิสทร์ ในศึก ลีกเอิง และ ลีก เดอซ์ มาแล้ว พร้อมกับพาทีม อาร์ซี สตารส์บูร์ก คว้าแชมป์ กุป เดอ ฟร็องส์ เมื่อปี 2001 ได้อีกด้วย

 

นอกจากนี้ ปิแอร์ เอ็นแยนก้า ยังผ่านการลงเล่นให้กับทีมชาติแคเมอรูน ในศึกฟุตบอลโลก ปี 1998 และ 2002 รวมไปถึงศึก แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ เมื่อปี 2004 มาแล้วด้วย ซึ่งผลงานของเขาในระดับทีมชาติลงสนามไปทั้งหมด 47 นัด ยิงไป 2 ประตู

 

ปิแอร์ เอ็นแยนก้า ใช้เวลาหลายปีค้าแข้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย กับทั้ง เปอร์ซิจา จาการ์ต้า, อารีมา เอฟซี, อาเจะห์ ยูไนเต็ด, มิตรา คูการ์ และ บาหลี ยูไนเต็ด โดยเจ้าตัวยิงประตูไปทั้งหมด 15 ลูก จากการลงสนาม 117 นัดรวมกันทั้ง 5 สโมสร

 

 

นาสย่า เชค – พีเอสเอ็มเอส เมดาน และ ธานห์ โฮ เอฟซี

 

อดีตดาวเตะชาวสโลวีเนีย เป็นที่รู้จักกันดีสมัยที่เจ้าตัวยังค้าแข้งอยู่กับทีมดัง อย่าง คลับ บรูซ โดยเจ้าตัวลงสนามให้กับต้นสังกัดไปทั้งหมด 101 เกม พร้อมกับยิงไป 24 ประตู มีส่วนสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเบลเยียม 2 สมัย ในซีซั่น 2002-03 และ 2004-05 นอกจากนั้น เชค ยังเคยคว้าแชมป์ เบลเยียม คัพ ได้อีก 3 สมัย และถ้วย ซุปเปอร์ คัพ วินเนอร์ อีก 4 สมัย กับ คลับ บรูซ อีกด้วย

 

จากนั้นเจ้าตัวย้ายไปอยู่กับ ออสเตรีย เวียนนา ทีมแกร่งของออสเตรีย ก่อนพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งฟุตบอลลีก และรายการบอลถ้วยได้สำเร็จ ในฤดูกาล 2005-06

 

หลังจากนั้นเขาใช้เวลาอีกหลายปีลงเล่นใน กรีซ, โครเอเชีย และ อิสราเอล กระทั่งเดือนเมษายน ปี 2012 นาสย่า เชค ได้ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ พีเอสเอ็มเอส เมดาน ทีมในศึก อินโดนีเซีย ซุปเปอร์ลีก ก่อนลงสนามให้ทีมไปทั้งหมด 18 นัด พร้อมกับยิงไปทั้งหมด 6 ประตู ให้กับสโมสร

 

ซีซั่นต่อมา นาสย่า เชค ได้ย้ายไปอยู่กับ ธานห์ โฮ เอฟซี ทีมในศึก วี ลีก เวียดนาม ซึ่งเจ้าตัวกลายเป็นนักเตะตัวหลักของสโมสร และยิงประตูให้กับทีมถึง 15 ประตู จากการลงเล่น 90 นัด