เจาะแท็กติกอาร์เตต้า! ทำไม “3-4-3” ถึงเหมาะกับปืนตอนนี้
ชั่วโมงนี้ใครเป็นสาวก “เดอะ กันเนอร์ส” ดูจะกระดี๊กระด๊ากันพอสมควร การลงทุนราคาประหยัดของสโมสรที่ไปดึงกุนซือป้ายแดงอย่าง มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีมดูเหมือนจะเป็น “สามล้อถูกหวย”
แม้จะอายุน้อยและไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมใดๆ มาก่อน ทว่า 8-9 เดือนที่เข้ามาเป็นนายใหญ่ในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม กุนซือชาวสแปนิช พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “มีของ” หลังพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยไปแล้ว 2 รายการทั้ง เอฟเอ คัพ และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์
อาร์เตต้า เป็นกุนซือไฟแรงที่ “กล้าคิด กล้าทำ” อะไรลองแล้วไม่ดีก็พร้อมที่จะเปลี่ยนอยู่เสมอ เหมือนอย่างที่เขายอมเปลี่ยนระบบการเล่นจาก 4-2-3-1 มาเป็น 3-4-3 จนทีมทำผลงานได้อย่างร้อนแรง
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการแพ้ต่อ แมนฯ ซิตี้ 0-3 ในเกมนัดแรกหลังรีสตาร์ตโควิด-19 หลังจากนั้น อาร์เตต้า สู้กับทีมใหญ่ได้สูสีหมด ชนะทั้ง ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี มีสะดุดแพ้ สเปอร์ส ทีมเดียวเท่านั้น
งานนี้เราจะมาวิเคราะห์กันดูว่าทำไมภายใต้ระบบ 3-4-3 ของ อาร์เตต้า ถึงได้ลงล็อกที่สุดกับ อาร์เซนอล ในตอนนี้ มีรายละเอียดใดบ้างที่น่าหยิบมาพูดถึงกัน
1.เน้นเซ็ตเกมรุกด้วยหลัง 3 แต่แรก
นับตั้งแต่ อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีมเกมแรกนัดที่เสมอ บอร์นมัธ 1-1 ระบบการเล่นพื้นฐานที่ใช้อาจจะเป็น 4-2-3-1 แต่สิ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากก็คือการหยิบเอา Invert Fullback และ false fullback เวลาที่ทีมเป็นฝ่ายจะเดินเกมรุกเข้าใส่
ภาพในตอนนั้นก็คือ กรานิต ชาก้า จากมิดฟิลด์คู่กลางจะถอยตัวเองมาเป็น false fullback ยืนเป็นแนวรับ 3 คนร่วมกับ ดาวิด ลุยซ์ และ ชโคดราน มุสตาฟี่ ส่วน ไอนส์ลี่ย์ เมดแลนด์ ไนลส์ หรือ เอคตอร์ เบเญริน จะหุบเข้าไปยืนกลางในบทบาท Invert Fullback
ดังนั้นเวลาเล่นเกมรุก อาร์เซนอล จะเสมือนอยู่ในระบบ 3-2-1-4 บูคาโย่ ซาก้า จะเติมเกมรุกสูงมาก ส่วน ปิแอร์ เอเมริค โอบาเมย็อง จากปีกซ้ายก็จะหุบไปเป็นหน้าคู่กับ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ โดยมี รีส เนลสัน หรือ นิโคลัส เปเป้ เป็นปีกอีกฝั่ง
สิ่งที่ อาร์เตต้า ต้องการคือการเพิ่มจำนวนผู้เล่นในเกมรุก ซึ่งทีมก็ดูดีขึ้นเยอะวัดจาก 2 เกมแรกที่เจอ บอร์นมัธ กับ เชลซี ก็ยิงรวมได้ถึง 24 ครั้ง การหมุนเวียนตำแหน่งนอกจากจะทำให้คู่แข่งสับสน ยังสร้างสมดุลให้ทีมด้วย เพราะทั้ง ชาก้า และ ลุยซ์ เป็นผู้เล่นเกมรับที่จ่ายบอลดีทั้งคู่ ทำให้ทีมเสียการครองบอลยาก
2.หลัง 3 สไตล์คอนเต้
จริงๆ ภายใต้ระบบ 4-2-3-1 ผลงานของทีมก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย แรกๆ อาจจะหนักเสมอถึง 5 จาก 9 เกม แต่รวมๆ แล้พอจูนลงตัวก็ชนะถึง 8 และแพ้เพียงแค่ 2 จากทั้งหมด 15 นัดก่อนที่ลีกจะหยุดชั่วคราวเนื่องจาการแพร่กระจายของเชื้อโคโรน่าไวรัส
อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นไม่ดีในช่วงรีสตาร์ตลีกทั้งโดน แมนฯ ซิตี้ ถล่ม 3-0 รวมถึงบุกไปแพ้ ไบรท์ตัน 1-2 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ อาร์เตต้า ต้องการสิ่งที่ดีกว่า เหมาะสมกว่าให้กับทีม โดยเลือกปรับมาเล่นในระบบ 3-4-3 ตั้งแต่เกมบุกชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-0
อาร์เซนอล ใช้ระบบ 3-4-3 ทั้งหมด 11 เกมรวมถึงเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ มีแพ้ แอสตัน วิลล่า 0-1 เพียงเกมเดียวเท่านั้น เรียกว่าการทดลองของกุนซือสแปนิช สำเร็จผล อะไหล่ที่ “ปืนใหญ่” มีในทีมตอนนี้คือตอบโจทย์กับระบบใหม่มากกว่าแบบเห็นได้ชัด
ในตำแหน่งกองหลัง 3 คนมีความซับซ้อนนิดหน่อยตรงไม่ได้ใช้เซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพทั้งหมดเหมือน ยูเวนตุส แต่มีการใส่ฟูลแบ็กไปยืนด้วย 1 ตำแหน่ง ตอนแรกเป็น เซอัด โคลาซินัค ที่มีความผิดพลาดส่วนตัวในเกมกับ สเปอร์ส ก่อนเปลี่ยมาใช้ คีแรน เทียร์นี่ย์ จนถึงปัจจุบัน
ตรงนี้ทำให้นึกถึง เชลซี สมัยที่ อันโตนิโอ คอนเต้ เอา 3-4-3 มาผงาดแชมป์พรีเมียร์ลีก ตอนนั้นพวกเขาก็ใช้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า อยู่ในแผงกองหลัง 3 คนเช่นกัน ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นสูง ระหว่างเกมสามารถปรับเป็นกองหลัง 4 คนได้ตลอดเวลา การขึ้นเกม การจ่ายบอล ก็ดูไหลลื่น แม่นยำกว่าการใช้สต็อปเปอร์เป็นเซนเตอร์อาชีพทั้ง 2 ข้างด้วย
3.ลุยซ์ ผู้เหมาะกับเซ็นเตอร์ 3 คน
แนวรับหัวฟูนับเป็นการเซ็นสัญญาที่ไม่ดีเลยถ้าเทียบจากสถิติของเจ้าตัวตลอดทั้งฤดูกาล โดยเฉพาะการขึ้นทำเนียบทำเสียจุดโทษ 5 ครั้งมากที่สุดต่อ 1 ฤดูกาลในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก รวมถึงข้อผิดพลาดอื่นๆ อีกมากมาย แต่ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นตอนที่ทีมยังเล่นในระบบหลัง 4 คน
ปัญหาของ ลุยซ์ คือช้า เวลาต้องดันสูงหรือต้องฉีกไปประกบกองหน้าคู่แข่งที่ถ่างไปเอาบอลริมเส้นมักจะเจอปัญหาตลอด ทั้งตามไม่ทันบ้าง ทั้งหลุดตำแหน่งบ้าง ยิ่งกองกลางตัวรับของ อาร์เซนอล ไม่เก่งด้วย มันกลายเป็นปัญหาหนักที่ อูไน เอเมรี่ แก้ไม่ตกจนตัวเองต้องตกงาน
แต่ในระบบหลัง 3 คนมันคือการเรียกประสิทธิภาพของแนวรับทีมชาติบราซิล ได้ดีที่สุด ลุยซ์ จะยืนปักหลักเป็นเซนเตอร์ตัวกลาง อาศัยการอ่านเกมที่ดี รูปร่างที่ใหญ่ค่อนซ้อน ค่อนสกัดบอลโยนจากริมเส้น ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เจ้าตัวทำได้ดี
ที่สำคัญแนวรับวัย 33 ปี จะเป็นหอบัญชาการในการเซ็ตบอลตั้งแต่แนวรับ ด้วยทักษะที่ดีเหนือกว่าแนวรับอาชีพ การจ่ายบอลยาวที่แม่นยำ เขาคือคีย์แมนสำคัญเลยในการเซ็ตบอลตั้งแต่แนวรับเพื่อแก้ไขการเจอทีมที่ชอบเพรสซิ่งสูงเหมือนที่ ลิเวอร์พูล ทำในคอมมิวนิตี้ ชิลด์
4.ใช้งาน ชาก้า ได้อย่างเหมาะสม
นอกจาก ลุยซ์ แล้ว คนที่โดนหนักมากๆ จนเรียกได้เต็มปากว่าหมดอนาคตไปแล้วในยุค อูไน เอเมรี่ ก็คือ กรานิต ชาก้า ที่เล่นห่วยไม่พอ ยังไปแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมใส่แฟนบอลในเกมเจอ คริสตัล พาเลซ เมื่อเดือนตุลาคม จนถูกปลดจากตำแหน่งกัปตันทีม และหลุดโผไปจาก 11 ตัวจริง
ปัญหาหลักของห้องเครื่องแดนนาฬิกา คือเป็นคนที่ไม่มีเซนส์ในการเล่นเกมรับเลย มักคิดช้าไป 1 จังหวะเสมอ ชอบทำฟาวล์ง่ายๆ ทำเสียจุดโทษโง่ๆ แต่ที่ผ่านมาทั้ง อาร์แซน เวนเกอร์ หรือ อูไน เอเมรี่ ก็เลือกให้เขาเป็นกองกลางตัวรับ หรือยืนต่ำสุดเสมอ ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียผลประโยชน์กับทีมเป็นอย่างมาก
แต่ในยุค อาร์เตต้า นอกจากจะให้เล่น false fullback ในช่วงแรก พอปรับมาเล่น 3-4-3 เจ้าตัวก็เป็นคู่มิดฟิลด์ตัวกลาง ยืนเท่ากันกับคู่หู ไม่ว่าจะเป็น ลูคัส ตอร์เรร่า หรือ ดานี่ เซบายอส และล่าสุด โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ ใช้วิธีช่วยกันเล่น ช่วยกันรับ หรือต่อให้เขาสกัดไม่ได้ ก็ยังมีเซนเตอร์ฮาล์ฟอีก 3 คนซ้อนอยู่
ทำให้ข้อผิดพลาดที่เคยก่อไว้ ดูลดน้อยถอยลงจนแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ ชาก้า มีความมั่นใจมากขึ้น ก็เล่นดีมากขึ้น เรื่องจ่ายบอล การเคลื่อนเกมจากขวาไปซ้าย จากซ้ายไปขวา เป็นจุดเด่นที่เจ้าตัวทำได้ดีตามมาตรฐานมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
5.ลดข้อผิดพลาดเกมรับริมเส้น
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกมรับของ อาร์เซนอล ยุค อาร์เตต้า แข็งโป้กเสมือนจอดรถบัสสีแดง ก็คือการแก้ไขปัญหาเกมรับริมเส้นได้ดีขึ้น จากเดิมในระบบหลัง 4 คน ฟูลแบ็กของ อาร์เซนอล ต้องบอกว่ารั่วมากๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกจอมบุกแต่เกมรับไม่เอาอ่าวกันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น เบเญริน, เมดแลนด์ ไนลส์, โคลาซินัช หรือแม้กระทั่ง บูคาโย่ ซาก้า ส่วนในรายของ เทียร์นี่ย์ ซีซั่นที่ผ่านมาก็เจ็บบ่อยเกินจนยากจะวัดผลได้ว่าถ้าเล่นหลัง 4 เขาจะมีเกมรับที่ดีแค่ไหน
แต่พอปรับมาเล่นในระบบ 3-4-3 มันช่วยแก้ตรงนี้ได้จริง โดยการใช้ทีมเวิร์กเข้าสู้ วิงแบ็กไม่ต้องกลัวในการดวลตัวต่อตัว เพราะจะมีเซ็นเตอร์ขวา-ซ้ายคอยซ้อนให้ ไหนจะตัวปีกที่จะลงมาช่วยบีบพื้นที่ เหมือนที่ภาพหลังๆ เราจะเห็น นิโคลัส เปเป้ เล่นเกมรับมากกว่าตอนมาแรกๆ
เท่ากับว่าเกมริมเส้น จะมีผู้เล่นคอยช่วยเหลือกันถึง 3 คน เรื่องจะมีวันแมนโชว์ลากเดี่ยว ลากจี้โซโล่ไปสุดเส้นหลังบอกเลยว่าไม่ง่าย หรือถ้าจะโยนเข้าไปวัดดวง ข้างในก็มี ดาวิด ลุยซ์ ที่คอยอ่านเกมเคลียร์บอลรออยู่ ตรงนี้วัดได้จากตัวเลขเลยว่าเกมรับทีมดีขึ้นจริงๆ ก่อนอาร์เตต้า คุมทีมเสียอยู่ที่ 1.58 ประตูต่อนัด อาร์เตต้าคุมในระบบ 4-2-3-1 เสียอยู่ 1.08 ประตูต่อนัด แต่ในระบบ 3-4-3 เสียเพียง 0.67 ประตูต่อนัดเท่านั้น
6.เกมรุกที่ชื่อ “โอบาเมย็อง”
อย่างไรก็ตาม 3-4-3 ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป ภาพรวมเกมรับคือดีขึ้นมากก็จริง แต่ก็ต้องแลกกับเกมรุกที่เสียสถิติในหลายๆ มุม ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่ในระบบ 4-2-3-1 อยู่ที่ 53.86% แต่ในระบบปัจจุบันลดมาเหลือแค่ 46.74% เท่านั้น
เรื่องโอกาสยิงประตูก็เช่นกันยุค เอเมรี่ กับ ลุงเบิร์ก รวมกับอยู่ที่ 1.53 ส่วนระบบ 4-2-3-1 ลงมาที่ 1.27 และในระบบ 3-4-3 เหลือเพียง 1.15 ครั้งต่อนัดเท่านั้น ชนะ ลิเวอร์พูล ในลีกได้ยิงแค่ 3 ชนะ แมนฯ ซิตี้ ในเอฟเอ คัพ รอบรองฯ ก็ยิงแค่ 4
แต่กลายเป็นว่าพอโอกาสน้อย ทีมกลับมีความเฉียบคมที่มากขึ้น โดยเฉพาะ โอบาเมย็อง ที่เป็นคีย์แมนหลักยิงประตูสำคัญๆ ให้ทีมได้ตลอด เอาแค่ที่ลงแข่งในเวมบลี่ย์ ยิงได้ถึง 5 ประตูจาก 3 เกมที่เจอของแข็งทั้ง แมนฯ ซิตี้, เชลซี และ ลิเวอร์พูล แม้จะมีโอกาสต่อเกมแค่ 2-4 ครั้งเท่านั้น
งานนี้น่าจะเป็นจุดที่แฟนบอลเป็นห่วงที่สุดแล้ว หากหัวหอกทีมชาติกาบอง ที่ยังไม่ออฟฟิเชี่ยลเรื่องสัญญาใหม่สักที เกิดลงไม่ได้ขึ้นมา ประสิทธิภาพในเกมรุกจะเป็นอย่างไร แค่เกมรับอย่างเดียว อาร์เซนอล จะกลายเป็นทีมจอมเสมอเหมือนช่วงแรกๆ ที่ อาร์เตต้า คุมทีมหรือไม่ ?
7.ขุมกำลังสำหรับฤดูกาล 2020-21
หลังจบเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2 คนที่นักข่าว บีที สปอร์ต เรียกมาสัมภาษณ์ก็คือ ไอนส์ลี่ย์ เมดแลนด์ ไนลส์ ที่คว้าแมน ออฟ เดอะ แมตช์ และ ปิแอร์ เอเมริค โอบาเมย็อง กัปตันทีมคนเก่ง โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่เรื่องการต่อสัญญาใหม่ของทั้งคู่
ฟอร์มของ โอบา ไม่ต้องอธิบายกันมาก เขาคือกองหน้าหมายเลขหนึ่ง คือดาวยิงสูงสุดของทีม ส่วน ไนลส์ อาจจะมีภาพรวมที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ในระบบ 3-4-3 ความอเนกประสงค์ถือว่าเป็นอะไหล่ชั้นดี ที่ มิเกล อาร์เตต้า ก็ดูเหมือนจะรู้แล้วว่าจะใช้งานยังไง
หากเก็บ ไนลส์ ไว้ได้ เท่ากับว่าตำแหน่งแบ็ก 2 ข้างถือว่าลงตัวแล้ว ขวามี เบเญริน, โซอาเรส ซ้ายมี เทียร์นี่ย์ และ ซาก้า โดยมี ไนลส์ เป็นตัวซัพพอร์ต ได้ทั้ง 2 ตำแหน่ง ส่วนแนวรับ วิลเลี่ยม ซาลิบา กับว่าที่แข้งรอประกาศอย่าง กาเบรียล มากัลเญส ก็ดีพอเสริมแกร่งให้ทีม ผู้รักษาประตูหายห่วงมีมือดีทั้ง แบรนด์ เลโน่ และ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ
จุดที่ควรจะได้แข้งใหม่ที่สุดนาทีนี้คือมิดฟิลด์ตัวกลางที่ควรทำได้ดีทั้งรับและรุก ดานี่ เซบายอส เป็นดีลที่ดีเลย แต่ไม่รู้ว่าจะคุยกับ เรอัล มาดริด รู้เรื่องหรือไม่ โทมัส ปาร์เตย์, อามาดู ดิยาวาร่า หรือแม้กระทั่ง ดานิโล่ เปเรร่า ต้องมีใครมาเสริมสักคน ให้พึ่ง โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ ตลอดซีซั่น เห็นที่ไม่น่าเวิร์ก
แนวรุกปีกได้ตัวเก๋า วิลเลี่ยน มาเสริมแล้วถือว่าน่าพอใจ ที่ต้องกังวลคือหน้าเป้า อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ จะอยู่ต่อมั้ย หรือถ้าย้ายก็ต้องมีใครมาเสียบแทน เห็นฟอร์ม เอ็ดดี้ เอเคเทียห์ ยังหวังผลอะไรได้ยาก