BEST OF BRANDs : สุดยอดเสื้อหงส์แดงจาก 5 แบรนด์ดัง

 

ชุดแข่งของสโมสรดังคือสิ่งหนึ่งที่แฟนบอลมักจะหยิบมาพูดถึงเสมอ ยามที่ได้ยลโฉมชุดนั้นผ่านทางสื่อต่างๆ และตอนนี้คงไม่มีชุดแข่งสโมสรไหนเป็นที่พูดถึงไปมากกว่าชุดแข่งของ ลิเวอร์พูล แล้ว

 

ก่อนหน้านี้ไม่นาน หงส์แดงได้ทำการเปิดตัวชุดแข่งขันฤดูกาลใหม่อย่างเป็นทางการ ภายใต้แบรนด์ ไนกี้ บริษัทเสื้อผ้ากีฬาชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ที่เซ็นสัญญาากับทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก ในช่วงปีก่อน แทนที่ นิว บาลานซ์ ที่หมดสัญญาไป

 

ชุดแข่งดังกล่าวยังคงเอกลักษณ์เดิมคือสีแดงแรงฤทธิ์ และมีแทรกแถบสีเขียวบริเวณคอเสื้อ และแขนเสื้อด้านข้าง ทำให้เสื้อดูมีสีสัน และดูแปลกตาเล็กน้อย โดยเริ่มวางจำหน่ายให้แฟนบอลคว้าเป็นเจ้าของกันแล้วตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคมเป็นต้นมา ทั้งเกรดผู้เล่น หรือ เกรดแฟนบอล

 

อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทีมดังจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ได้ผ่านการเปลี่ยนสปอนเซอร์มาแล้วหลายยี่ห้อด้วย ซึ่งแต่ละเจ้าก็ฝากฝีไม้ลายมือไว้ได้สวยงามไม่แพ้กัน 

 

และนี่คือสุดยอดชุดแข่งของ หงส์แดง ที่ UFA ARENA มองว่ายอดเยี่ยมที่สุดของแต่ละแบรนด์

 

 

Umbro | ฤดูกาล 1983-85

 

 

Umbro เป็นแบรนด์ผลิตอุปกรณ์แบรนด์แรกที่เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ผลิตชุดแข่งให้ ลิเวอร์พูล ในปี 1973 และลากยาวไปจนถึงปี 1985 

 

ตลอดเวลาที่แบรนด์ดังจากแดนผู้ดีเป็นสปอนเซอร์ให้ หงส์แดง คือสโมสรเบอร์ต้นๆในอังกฤษ รวมถึงในยุโรป ที่กวาดแชมป์มาครองได้ทุกรายการที่ทีมลงแข่ง แต่ชุดที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดในตอนนั้นน่าจะเป็นชุดแข่งในปี 1983 ถึงปี 1985

 

ชุดแข่งนั้นเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากชุดในฤดูกาล 1982-83 ทั้งลายเส้นที่ขาวเล็กๆทั้ง 7 เส้น, ขอบขาวบริเวณแข่งเสื้อทั้ง 2 ข้าง แต่จุดที่แตกต่างกันชัดเจนคือ สเปอร์เซอร์คาดหน้าอกอย่าง คราวน์ เพนท์ส ผู้ผลิตสีรายใหญ่ในอังกฤษ ที่วางชื่อไว้ในระนาบเดียว แทนที่จะแบ่งเป็น 2 บรรทัดเหมือนปีก่อน

 

หงส์แดงที่มี โจ ฟาแกน เป็นกุนซือ พาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ในปี 84 พร้อมกับแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ และ ลีก คัพ ด้วย ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ Adidas เป็นผู้ผลิตชุดแข่งในปี 1985

 

 

Adidas | ฤดูกาล 1989-91

 

 

ไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ลิเวอร์พูล เต็มไปด้วยชุดแข่งที่สวยงามและน่าจดจำมากที่สุดภายใต้การผลิตชุดแข่งจาก Adidas แบรนด์ดังจากเยอรมัน ที่เคยเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมถึง 2 ช่วงด้วยกัน

 

แต่ถ้าให้เลือกชุดแข่งที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของแฟนหงส์แดงมากที่สุด ต้องยกให้ชุดแข่งปี 1989-91 ซึ่งอยู่ในยุคแรกที่ค่ายสามขีดเข้ามาผลิตชุดแข่งให้ เนื่องจากนี่คือชุดที่ทีมคว้าแชมป์ลีกได้ครั้งสุดท้ายในปี 1990 ก่อนจะห่างหายจากถ้วยนี้ไปนาน 30 ปี

 

ชุดนั้นใช้ แคนดี้ ผู้ผลิตเครื่องใช้จากอิตาลี เป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอก ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายคลึงกับชุดในฤดูกาล 1988-89 เช่นกัน แต่ที่แตกต่างก็คือ ลวดลายหัวลูกศรและเส้นที่ขาวเล็กๆบนเสื้อ ทำให้ดูโดดเด่นแปลกตากว่าเดิม

 

นอกจากนี้ยังมีชุดแข่งหงส์แดงจากอดิดาสมากมายที่สวยงามไม่แพ้กัน ทั้งในฤดูกาล 1992-93 หรือชุดแข่งจาก Adidas ยุคที่ 2 ในปี 2006-2008 กับ 2008-2010 เพียงแต่มันไม่มีความสำเร็จอะไรให้จดจำนอกจากความสวยงามของชุดเท่านั้น

 

 

Reebok | ฤดูกาล 2004-06

 

 

เมื่อหมดสัญญากับ Adidas ในปี 1996 ลิเวอร์พูล ก็ได้ Reebok แบรนด์ในเครือของค่ายสามขีด เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้ โดยมี คาร์ลสเบิร์ก เบียร์จากเดนมาร์ก เป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอกและผลิตชุดแข่งให้กับสโมสรเป็นเวลา 10 ปีด้วยกัน ก่อนที่ทีมจะกลับไปร่วมงานกับ อดิดาส อีกหน

 

ตลอดเวลานั้น หงส์แดง ก็สามารถคว้าแชมป์ต่างๆมาครองได้ไม่น้อยเลย แต่ส่วนใหญ่ก็แชมป์ฟุตบอลถ้วย หาใช่แชมป์ลีกที่พวกเขารอคอยไม่ แต่ชุดแข่งของพวกเขาในปี 2004 จนถึง ปี 2006 ก็ยังได้รับการพูดถึงจนทุกวันนี้

 

เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากนี่เป็นชุดแข่งที่ทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ สร้างปาฏิหารย์ที่อิสตันบูลเอาชนะ เอซี  มิลาน จนคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้ในปี 2005 อีกทั้งในปี 2006 ก็ยังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ด้วยการดวลจุดโทษชนะ เวสต์แฮม 

 

แต่อีกชุดจาก Reebok ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ชุดจากปี 2000-2002 ที่ ยอดทีมจาก เมอร์ซี่ย์ไซด์ คว้าแชมป์เอฟเอ, ลีก คัพ กับ ยูฟ่า คัพ ในปี 2001 และเป็นช่วงที่ ไมเคิล โอเว่น คว้าบัลลงดอร์มาครองด้วย

 

Warrior Sports | ฤดูกาล 2013-14

 

 

นี่คือช่วงที่ ลิเวอร์พูล ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ในตอนที่ Warrior Sportsแบรนด์ผลิตอุปกรณ์กีฬาจากอเมริกัน เข้ามาแทนที่อาดิดาสในปี 2012 ถึง ปี 2015  

 

ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่ความผิดของ Warrior เลยซักนิด เพราะมันเกิดจาก จอร์จ ยิลเล็ตต์ และ ทอม ฮิคส์  อดีตเจ้าของสโมสรที่กู้เงินมาเทคโอเวอร์จนทำให้ หงส์แดง กลายเป็นหนี้ และ ทิ้งภาระให้ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ กับ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป  ต้องใช้เวลาสะสาง ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทีมใหม่อยู่นานหลายปี    

   

เวลาที่ดีที่สุดภภายใต้การผลิดชุดแข่งของ Warrior คงหนีไม่พ้นชุดแข่งในฤดูกาล 2013-14 ที่ แบรนแดน ร็อดเจอร์ส เกือบพาหงส์แดงพุ่งชนความสำเร็จคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองเป็นหนแรก แต่ช็อตลื่นในตำนานของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เกมเสมอ คริสตัล พาเลซ ช่วงท้ายฤดูกาลทำให้โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปาดหน้าคว้าแชมป์ลีกไปแทน

 

สำหรับชุดแข่งในฤดูกาลดังกล่าว ยังใช้ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด บริษัทธุรกิจด้านธนาคารและการเงินจากสหราชอาณาจักรเป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอก แต่มีการเพิ่มลายละเอียดเล็กบริเวณคอเสื้อ, แขนเสื้อ และเงาสีแดงเข้มแนวตั้งเข้ามา

 

 

New Balance | ฤดูกาล 2019-20

 

 

ถัดมาในปี 2015 ลิเวอร์พูล ก็ได้สปอนเซอร์ผลิตชุดแข่งเป็นเจ้าที่ 5 ในประวัติศาสตร์สโมสร นั่นก็คือ New Balance แบรนด์ดังจากอเมริกา ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่สโมสรได้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแทนที่ บีร็อด

 

กุนซือชาวเยอรมันใช้เวลาราวๆ 3 ฤดูกาล ปลุกให้หงส์แดงที่เป็นเพียงยักษ์หลับให้กลับมาเป็นเครื่องจักรสีแดงที่พร้อมชนกับทุกทีมบนโลก และประสบความสำเร็จด้วยการคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2018-19 และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ในฤดูกาลต่อมา 

 

ในส่วนของชุดแข่งจาก New Balance ช่วง 2 ปีแรกยังรูปลักษณ์หรือลวดลายที่ไม่ฉีกจากสมัยที่ วอร์ริเออร์ เป็นผู้ผลิตนัก แต่ปี 2017 เป็นต้นมา แบรนด์กีฬาจากแดนลุงแซม ก็ใช้เลือกใช้สีแดงโทนเข้ม พร้อมกับมี เวสเทิร์น ยูเนี่ยน บริษัทด้านการเงินของอเมริกัน เป็นสปอนเซอร์รายแรกที่ปักลงบนแขนเสื้อ

 

แน่นอนว่าชุดดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การผลิตของ New Balance ต้องยกให้ฤดูกาล 2019-20 ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ และสโมสรโลก มาครอง 

 

โดยชุดนั้นมีภาพรวมไม่หนีจาก ฤดูกาล 2018-19 หรือ 2017-18 นัก แต่สิ่งที่แตกต่างชัดเจนก็คือ โลโก้สปอร์เซอร์ และสโมสร ถูกใช้เป็นสีเหลือง ยกเว้น แค่ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ต สปอนเซอร์คาดหน้าอกที่ใช้สีขาวตามเดิม อีกทั้งมีการใช้เส้นสีขาวเล็กๆในแนวตั้งเพื่อเพิ่มความสวยงามโดดเด่นอีกเล็กน้อย

 

ช่วงปีสุดท้ายของสัญญา New Balance มีปัญหากับสโมสรที่เจรจากับ Nike ว่าที่สปอนเซอร์ชุดแข่งรายใหม่ จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ท้ายที่สุดพวกเขากลายเป็นฝ่ายแพ้คดี จนต้องยอมถอยให้ Nike เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนรายใหม่แทนในฤดูกาล 2020-21