การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ฟุตบอลต้องห่างหายไปนานตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และแม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่คลี่คลาย แต่วงการฟุตบอลที่ขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินมหาศาล และสามารถสร้างความสุขให้ผู้คนได้ ก็ต้องกลับมาเตะกันต่อให้จบ ซึ่งก็มมาตรการความปลอดภัยต่างๆรองรับ
โดยบุนเดสลีกา เป็นลีกแรกที่กลับมาลงสนามเตะกันต่อ แต่ก็มีเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทั้งการฉลองประตูที่เปลี่ยนไป บรรยากาศในสนามที่ไร้แฟนบอล และอื่นๆที่ได้เห็นในเกมบุนเดสลีกานัดแรกที่กลับมาเตะกัน วันนี้UFAARENA จะพาไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นหลังบุนเดสลีกากลับมาลงสนาม
บรรยากาศในสนามที่เปลี่ยนไป
สนามฟุตบอลที่ไม่มีแฟนบอลในสนามดูจะเป็นความแปลกอย่างที่สุดของโลกลูกหนัง ซึ่งมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่ามันมีผลค่อนข้างมากอย่างเช่นความได้เปรียบของเจ้าบ้านที่ปกติแม้ทีมจะเป็นรอง แต่ก็ยังพอมีแฟนบอลช่วยตะโกนกดดัน ตะโกนเชียร์ให้ แต่กับการที่ไม่มีแฟนบอลทำให้บรรยากาศแทบไม่ต่างกับสนามซ้อม
อย่างไรก็ตามความเงียบของสนามที่ไร้ผู้คนนอกจากนักเตะและสต๊าฟโค้ช ทำให้เราได้ยินเสียงตะโกนสั่งลูกทีมของกุนซือ เสียงนักเตะที่วิ่งไล่กัน และมันก็มีประเด็นเกิดขึ้นตรงนี้กับการที่ ฌอง แคลร์ โทดิโบ กองหลังตัวยืมของชาลเก้ ที่มีจังหวะกระทบกระทั่งกับ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กองหน้าของดอร์ทมุนด์ จนหลุดด่าออกมาด้วยคำหยาบคาย ซึ่งด้วยความเงียบของสนามทำให้ได้ยินคำดังกล่าวออกมาอย่างชัดเจน ส่วนทางดาวยิงนอร์เวย์ก็ได้แต่ยืนยิ้มแห้งไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป
Jean-Clair Todibo to Erling Braut Haaland: “Go **** your grandmother.” 😳
Players need to remember that we can hear everything now 😂😂😂
— World Sportsbook Competition (@the_wsbc) May 16, 2020
ตัวสำรองนั่งแยกกัน
หนึ่งในมาตรการของทางบุนเดสลีกาที่จัดมารองรับการกลับมาลงสนามกันท่ามกลางไวรัสโควิด-19 คือโดยปกติแล้วตัวสำรองจะมีซุ้มมานั่งที่ข้างสนามซึ่งจะนั่งติดกัน แต่ในคราวนี้ ด้วยความที่ทุกคนต้องรักษาระยะห่างเพื่อป้องกันไวรัส ทำให้ต้องเปลี่ยนจากที่ตัวสำรองจะนั่งที่ซุ้มม้านั่ง ก็ขึ้นไปนั่งบนสแตนด์ที่ไม่มีแฟนบอล แถมยังต้องนั่งห่างกันสามช่วงเก้าอี้ นอกจากนี้ยังรวมถึงสต๊าฟโค้ช ที่นั่งอยู่ที่ซุ้มข้างสนามก็ต้องนั่งห่างกันสองช่วงเก้าอี้อีกด้วย
การดีใจแบบเว้นระยะห่าง
นับเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยชินตาอีกเรื่องกับการที่เวลานักฟุตบอลยิงประตูได้ แต่ไม่สามารถวิ่งมากอดกันแสดงความดีใจเหมือนแต่ก่อน แน่นอนว่าการฉลองประตูก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย แม้จะมีการอนุโลมให้ใช้แตะศอกกันได้ก็ตาม แต่ก็ยังมีท่าดีใจที่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ที่ไม่ผิดกฏอย่างเช่นในรายของ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ที่ยิงประตูให้กับดอร์ทมุนด์ขึ้นนำชาลเก้ ไปในนาทีที่ 29ของการแข่งขัน เมื่อไม่มีแฟนบอลในสนามให้ดีใจ และเพื่อนร่วมทีมที่วิ่งเข้ามาหาแล้ว แต่ก็ต้องเว้นระยะห่าง ทำให้ต้องออกท่าเต้นโยกไปมาแบบห่างๆเรียกได้ว่าเป็นการฉลองประตูที่เข้ากับยุคสุดๆ
https://twitter.com/MessiCF10/status/1261697553596329984
การชนศอก การแตะขา
จากการที่ไม่สามารถวิ่งไปกอดแสดงความดีใจกับเพื่อนร่วมทีมได้ ทำให้เสน่ห์ของฟุตบอลมันหายไปเล็กน้อย แต่ก็ยังได้เห็นจากเกมที่ไฟร์บวร์ก เสมอไลป์ซิค 1-1 ในจังหวะที่ มานูเอล กุลเดอ ส่งบอลไปตุงตาข่ายพาไฟร์บวร์กขึ้นนำไปในนาทีที่ 34 ก่อนจะวิ่งมาใช้ศอกชนกันกับเพื่อนร่วมทีมเพื่อเป็นการแสดงความดีใจ ซึ่งการดีใจแบบนี้ได้รับการสนับสนุนจากทางลีกเมืองเบียร์ที่อนุโลมให้มีการชนศอกได้ นอกจากนี้ยังมีเกมที่โวล์ฟบวร์ก เอาชนะ เอาก์สบวร์กไป 2-1 พวกเขาก็ใช้ท่าดีใจด้วยการชนศอกเช่นเดียวกัน
แข้งแฮร์ธ่าไปหอมแก้มเพื่อนฉลองดีใจ
แม้ว่าจะมีกฏออกมากำชับอย่างชัดเจนในการรักษาระยะห่างของนักเตะ แต่ด้วยความเคยชินที่เคยฉลองประตูกันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้มีนักเตะบางคนที่เผลอตัวไปอย่างเช่นในกรณีของ เด็ทริค โบยาต้า กองหลังของแฮร์ธ่า เบอร์ลิน ดันไปหอมแก้มเพื่อนร่วมทีมอย่าง มาร์โก กรูยิช ในจังหวะที่พวกเขาได้ประตูขึ้นนำคู่แข่งอย่าง ฮอฟเฟ่นไฮม์ จากการทำเข้าประตูตัวเอง ก่อนที่สุดท้ายเกมจะจบด้วยสกอร์ 3-0 แต่ที่ไม่จบคือการกระทำของ โบยาต้า โดนวิจารณ์อย่างหนักกับการลืมตัวครั้งนี้
โชคยังดีที่ทางบุนเดสลีกา ยืนยันว่าจะไม่มีการลงโทษแข้งรายนี้ โดยทางเดเอฟแอลกล่าวว่า “เรื่องนี้จะไม่มีการลงโทษแต่อย่างใด การฉลองทำประตูในคู่มือที่เราแจกไปเป็นเพียงแค่การแนะนำเท่านั้น ไม่ได้เป็นกฎข้อบังคับแต่อย่างใด” นอกจากนี้ภายหลังตัวนักเตะก็ได้ออกมาเผยว่าตนไม่ได้ไปหอมแก้มเพื่อน เป็นแค่มุมกล้องเท่านั้น
ฆ่าเชื้อลูกฟุตบอล
การลงสนามท่ามกลางสถานการณ์ไวรัสแบบนี้ แน่นอนว่าเรื่องความสะอาด และสุขอนามัย เป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่แค่กับคนเท่านั้น ลูกฟุตบอลเองก็ต้องถูกทำให้สะอาดก่อนนำไปใช้ในเกมการแข่งขัน ทั้งก่อนเริ่มเกม และในช่วงพักครึ่ง ซึ่งถือเป็นมาตรการป้องกันที่รอบคอบ แถมบรรดาเด็กเก็บบอลเองก็ต้องใส่ถุงมือเพื่อป้องกันเชื้ออีกด้วย
กฏการเปลี่ยนตัวได้ 5คน
หนึ่งในกฏที่จะถูกนำเข้ามาใช้ชั่วคราวที่ถูกยืนยันจาก IFAB หรือ คณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ ที่อนุญาติให้การเปลี่ยนตัวสำรอง ทำได้ถึง 5คนในช่วงไวรัสระบาด เพื่อรักษาสภาพร่างกายนักเตะ ที่ต้องลงเตะติดต่อกันเพื่อทำให้จบลีกตามกรอบเวลา แต่ก็มีข้อแม้ว่าการเปลี่ยนตัวทำได้ 3ครั้งต่อเกม จะได้ไม่ทำให้เกมหยุดชะงักบ่อยเกินไปอย่างเช่น หากทั้งสองทีมทำการเปลี่ยนตัวพร้อมกัน ก็จะถูกนับเป็น 1 ใน 3 ครั้งสำหรับแต่ละทีมทันที ซึ่งกฏดังกล่าวมีให้เห็นแล้วในเกมบุนเดสลีกา 6 จาก8คู่ที่ลงแข่งขันกันไปแล้ว
นักเตะยังดูไม่ฟิตหลังกลับมา
แม้จะถูกเรียกตัวกลับมาซ้อมก่อนที่จะลงเตะ แต่บรรดานักเตะก็เหมือนจะต้องมาจูนกันใหม่ ทั้งในเรื่องของความฟิตที่ไม่ได้ซ้อมอย่างเต็มที่มาเป็นเวลากว่า 7สัปดาห์นับตั้งแต่ฟุตบอลถูกระงับไป ตัวอย่างเช่นในเกมคู่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่แม้จะโชว์ฟอร์มถล่มซาลเก้ ไปถึง4-0 แต่ก็จะเห็นได้ว่าพวกเขาส่งบอลกันขาดๆเกินๆ ซึ่งทาง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ดาวยิงเสือเหลืองก็ได้ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่าร่างกายยังไม่ฟิตเต็มร้อยเนื่องจากหยุดเล่นไปนาน
โดยเจ้าตัวเผยว่า “แน่นอนผมยังไม่เหมือนเดิม ผมไม่ได้เล่นฟุตบอลมา 7สัปดาห์เต็มๆ ดังนั้นมันยังไม่เหมือนเดิม แต่ผมรู้ว่าผมทำงานหนักมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา และผมไม่แปลกใจเลย (ที่กลับมาทำประตูได้) ไม่แปลกใจเลย”
รวมถึงการที่ต้องเว้นระยะห่างจากโรค ทำให้บรรดานักเตะไม่กล้าที่จะเข้าปะทะกันมากนัก จนทำให้ในเกมรับของทางชาลเก้เองก็ดูรั่วจนสามารถเจาะได้ไม่ยาก
ทุกที่ต้องใส่หน้ากากยกเว้นในสนาม
มาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุดในช่วงไวรัสคือการใส่หน้ากากปิดปากแม้ว่าทางฝั่งยุโรปจะไม่ได้ชื่นชอบการสวมหน้ากากนัก แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้จึงมีกฏให้ทุกคนที่เข้าไปในสนามต้องสวมหน้ากากไม่ว่าจะเป็น สต๊าฟโค้ช ทีมงานในสนาม สื่อมวลชน รวมไปถึงตัวสำรองที่รอการเปลี่ยนตัวลงสนาม จะยกเว้นแค่บรรดานักเตะที่ลงทำการแข่งขันอยู่ไม่ต้องใส่
การดูบอลผ่านการถ่ายทอดสดสูงขึ้น 2เท่า
เมื่อการดูฟุตบอลไม่สามารถไปดูที่สนามได้ ทำให้การดูฟุตบอลผ่านการถ่ายทอดสดจากแพลตฟอร์มต่างๆ ก็กลายเป็นทางเลือกของบรรดาสาวกลูกหนัง ซึ่งจากการกลับมาลงสนามของบุนเดสลีกา ก็ได้มีข้อมูลออกมาจากเว็บไซต์ DWDL.de ที่ได้รายงานว่าหากนับแค่ในเยอรมันก็มีคนดูถ่ายทอดสดเกมลูกหนังกว่า 6ล้านคน แบ่งเป็นการถ่ายทอดสดของสกายที่ต้องสมัครสมาชิค ก็เพิ่มสูงขึ้น 2เท่า ด้วยจำนวน 3.68ล้านคน และฟรีทีวีอีก 2.45ล้านคน นับเป็นสถิติที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้คนโหยหากีฬาฟุตบอลมากขนาดไหน และหวังว่าจะได้กลับมาชมฟุตบอลกันอย่างปกติอีกครั้ง