มาไกลเกินคาด : 10 ทีมม้ามืดรอบตัดเชือก UCL

มาไกลเกินคาด : 10 ทีมม้ามืดรอบตัดเชือก UCL

ในแต่ละปีของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จะมีทีมนอกสายตาหรือระดับกลางๆในยุโรปที่แต่ละคนมองว่าพวกเขาคงไปได้ไม่ไกลกว่ารอบแบ่งกลุ่มเท่าไหร่นัก แต่ขอบอกเลยว่าบางครั้งทีมที่ว่ามาก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปหรอก

เพราะทีมเล็กๆเหล่านี้นอกจากจะสร้างสีสันให้การแข่งขันสโมสรฟุตบอลระดับทวีปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นยังกล้าหาญชาญชัยผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์และลากยาวไปจนถึงรอบรองชนะเลิศมาแล้ว

และนี่คือ 10 ทีมม้ามืดที่ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกในเวที UCL ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าพวกเขาจะมาจอดอยู่แค่รอบนี้ก็ตาม

 

เรนเจอร์ส ฤดูกาล 1992-93

On This Day: Ian Durrant reflects on Rangers' Champions League clash at Marseille in 1993

ในฤดูกาลแรกของแชมเปี้ยนส์ลีกยังไม่มีการแข่งขันรอบรองชนะเลิศก็จริง แต่เรนเจอร์ส ก็พยายามอย่างใน 180 นาทีสุดท้ายเพื่อกรุยทางสู่ชอบชิงเช่นกัน โดยรอบก่อนหน้านี้พวกเขาเอาชนะคู่อริในเกาะอังกฤษอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ดไปได้ 4-2 จากประตูของอัลลี่ แม็คคอยส์, มาร์ค เฮทลีย์ และ โยวาน ลูคิช

ในรอบแบ่งกลุ่มนั้น เรนเจอร์สอยู่กลุ่มเดียวกับ มาร์กเซย, ซีเอสเคเอ มอสโก และ คลับ บรูซ ซึ่งลูกทีมของวอลเตอร์ สมิธนั้นไม่แพ้ใครในรอบนี้ และพวกเขาจะผ่านเข้าสู่รอบชิงทันที หากชนะมาร์กเซยและซีเอสเคเอได้ใน 2 นัดสุดท้าย

แต่น่าเสียดายที่พวกเขาทำได้แค่เสมอที่สต๊าด เวโลโดรม 1-1 และนัดสุดท้ายกับซีเอสเคเอ 0-0 ทำให้พวกเขาตกรอบนี้ด้วยคะแนนตามหลังแค่แต้มเดียวเท่านั้น

 

พานาธิไนกอส ฤดูกาล 1995-96

ทีมระดับต้นๆจากประเทศกรีซถือว่าดวงดีพอสมควร เมื่อพวกเขาอยู่ในรอบแบ่งกลุ่มกับทีมที่มีระดับไล่เลี่ยกันอย่าง อัลบอร์ก, น็องต์ส และ ปอร์โต้ โดยมี คริสตอฟ วาร์ซีชา ดาวซัลสูงสุดของสโมสรเป็นแข้งตัวหลักในการทำประตู ก่อนที่พวกเขาจะผ่าน ลิเกีย วอร์ซอว์ ได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เพื่อไปพบกับ อาแจ็กซ์ในรอบตัดเชือก หรือทีมที่พวกเขาเคยพ่ายในนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ เมื่อปี 1971

วาร์ซีชาทำให้พานาธิไนกอสมีหวังเข้ารอบชิงอีกครั้ง หลังบุกไปยิงประตูชัยถึงอัมสเตอร์ดัมให้ทีมเอาชนะ 1-0 ในนัดแรก ซึ่งถือเป็นหยุดสถิติไม่แพ้ใคร 22 เกมติดต่อกันของอาแจ็กซ์ใน UCL นี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ความหวังก็มาพังทลายลง เมื่อโดน ยารี่ ลิตมาเน่นเหมา 2 ประตูและช่วยให้อาแจ็กซ์ถอนแค้นคืนได้ 3-0

 

ดินาโม เคียฟ ฤดูกาล 1998-99

ก่อนยุคที่สโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปจะดึงตัวนักเตะดาวรุ่งจากทีมอื่นๆในทวีป, วาเลรี่ โลบานอฟสกี้ ได้สร้างดินาโม เคียฟ ด้วยผู้เล่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ควบคู่กับแข้งดาวรุ่งพรวรรค์สูงในทีม และผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ

คาค่า คาลัดเซ่, โอเล็ก ลุซนี่, เซอร์เก้ เรบรอฟ และ อังเดร เชฟเชนโก้ คือแข้งตัวหลักที่พาทีมจากยูเครนผ่ารอบแบ่งกลุ่มและเขี่ย อาร์เซน่อล, เรอัล มาดริด ทีมดังในรายการนี้ตกรอบไปแบบไม่มีใครคาดคิด จนผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกกับบาเยิร์น มิวนิคได้

ในฤดูกาลนั้น เชว่ายิงใน UCL ได้ 10 ประตู ซึ่ง 2 ลูกในจำนวนนั้น คือการยิงใส่เสือใต้และช่วยให้เคียฟออกนำ 3-1 ในนัดแรก แต่ก็ถูกทีมจากเยอรมันตีเสมอเป็น 3-3 ได้ใน 12 นาทีสุดท้าย ก่อนจะโดนลูกยิงของ มาริโอ บาสเลอร์ ปิดฉากเวทียุโรปปีนั้นในนัดต่อมา

 

ลีดส์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2000-01

ทีม ‘นกยูงทอง’ มีโอกาสได้เล่นในรายการแชมเปี้ยนส์ลีกแค่ปีเดียวเท่านั้น แต่ก็เป็นปีที่หลายคนพูดถึงจนปัจจุบัน เมื่อลูกทีมของเดวิด โอเรียลี่ ผ่านด่าน บาร์เซโลน่า ในรอบแรกและลาซิโอในรอบต่อมาได้อย่างสวยงาม  

จากนั้นก็ออกไปพบกับ เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า แชมป์ลาลีก้าในปีนั้น ซึ่งพวกเขาเอาชนะไปได้ถึง 3-0 ในถิ่นเอลแลนด์ โร้ด จากประตูของเอียน ฮาร์ต, อลัน สมิธ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ แม้พวกเขาพ่ายให้เดปอร์ในนัดต่อมา 2-0 แต่สกอร์ที่ตุนไว้นัดแรกก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้

อย่างไรก็ตาม เส้นทางซาน ซีโร่ ของลีดส์จบลง เมื่อพวกเขาเจอกับบาเลนเซีย แม้จะยันเสมอได้ในบ้านตัวเอง 0-0 แต่ที่เมสตาย่า สเตเดี้ยม พวกเขาโดนทีม ‘ค้างคาว’ กดยับ 3-0 ตกรอบ UCL ไปแบบช้ำใจ

 

บียาร์เรอัล ฤดูกาล 2005-06

ในปีนั้น บียาร์เรอัล คือทีมม้ามืดใน UCL ตัวจริง หลังจู่ๆก็โผล่พรวดขึ้นมาในรอบ 4 ทีมสุดท้ายแบบหน้าตาเฉย โดยในขณะนั้นมีมานูเอล เปเยกรินี่ กุมบังเหียนทีมอยู่ และมีดาวเด่นอย่าง ฮวน โรมัน ริเกลเม่ เป็นจอมทัพคอยเคลื่อนเกมในแดนกลาง

‘เยลโลว์ ซับมารีน’ ทุบเอฟเวอร์ตันในรอบเพลย์อ็อฟ ก่อนจะกลายเป็นจ่าฝูงในรอบแบ่งกลุ่มและเขี่ยตัวเต็งอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบอย่างช็อคโลก ต่อจากนั้นก็เอาผ่านเข้ารอบมาได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเจอกับ เรนเจอร์ส หรือ อินเตอร์ มิลานที่มี อาเดรียโน่ ช่วงพีกๆอยู่ในทีม จนมาถึงรอบตัดเชือกได้สำเร็จ

คู่แข่งของพวกเขาในรอบนี้คือ อาร์เซน่อล ตัวแทนจากอังกฤษ โดยในนัดแรกที่ไฮบิวรี่ ปืนใหญ่เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบไปก่อนจากประตูชัยของ โคโล่ ตูเร่ แต่ในนัดสุดท้ายบีบาร์เรอัลมีโอกาสยื้อชะตาชีวิตในช่วงต่อเวลา หลังทีมได้ลูกโทษในนาทีสุดท้าย แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อลูกยิงของริเกลเม่ดันไปติดเซฟของ เยนส์ เลห์มันน์ ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 2 หมื่นคนในสนาม เอล มาดริกัล

 

โอลิมปิก ลียง ฤดูกาล 2009-10

 ก่อนหน้านี้ ลียงครองอำนาจในลีกแดนน้ำหอมและคว้าแชมป์ลีก เอิง มาตั้งแต่ปี 2002 และมาสิ้นสุดเอาในฤดูกาล 2009-2010 หลังเสียแชมป์ให้กับบอร์กโดซ์ แต่ในปีนั้นพวกเขาเป็นที่พูดถึงอย่างมากในยุโรป หลังผ่านเข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีกครั้งแรกในรอบ 9 ปี จากนั้นพวกเขาก็ผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ด้วยการเขี่ยลิเวอร์พูลให้ลงไปเล่นในยูโรป้าลีก

ลียง ยังร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเอาชนะเรอัล มาดริดได้ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย จากลูกยิงสุดสำคัญของ มิราเล็ม ปานิช ในซานติอาโก้ เบอร์นาเบว จากนั้นก็แก้แค้นเอาชนะคู่อริในลีกอย่างบอร์กโดซ์ไปได้ 3-2 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

แต่ช่วงเวลาให้ความสุขมักอยู่ได้ไม่นาน เมื่อพวกเขาโดน บาเยิร์น มิวนิค ของหลุยส์ ฟาน กัล ถล่มยับไปด้วยสกอร์รวม 4-0 แบบสู้ไม่ได้เลยในรอบรองชนะเลิศปีเดียวกัน

 

ชาลเก้ ฤดูกาล 2010-11

แฟนบอลทั่วโลกต่างหน้านิ้วคิ้วขมวดเมื่อเห็นแข้งระดับตำนานอย่าง ราอูล กอนซาเลซ ย้ายไปร่วมทีมชาลเก้ 04 ในช่วงซัมเมอร์ปี 2010 แต่ว่าการตัดสินใจครั้งนั้นของดาวยิงชาวสแปนิชดูเหมือนจะถูกต้อง เมื่อเขาพา ‘ราชันสีน้ำเงิน’ ไปไกลพอๆกับ เรอัล มาดริด ทีมเก่าของเขาในเวทียุโรปอย่างเหนือความคาดหมาย

ชาลเก้ในตอนนั้นประกอบไปด้วยแข้งดาวรุ่งมากมายทั้ง มานูเอล นอยเออร์, จูเลียน แด็กซ์เลอร์  และ อิวาน ราคิติช แต่ราอูลคือคนที่ช่วยประคองรุ่นน้องและทีมอย่างแท้จริง โดยเขายิงประตูสำคัญให้ทีมในนัดที่พบกับ บาเลนเซีย และ อินเตอร์ มิลานในรอบน็อคเอ้าท์ด้วย

แม้ว่านายด่านชาวเยอรมันจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ชาลเก้ก็ไร้ทางต่อกรเมื่อต้องพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในรอบตัดเชือก UCL และถูกถล่มยับด้วยสกอร์รวม 6-1 ก่อนที่ราอูลจะแขวนสตั๊ดกับ ชาลเก้ อย่างตำนานในปีต่อมา 

 

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ฤดูกาล 2018-19

Bayern's next CL opponents Ajax

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม อาจเคยคว้าแชมป์ยุโรปมาครองถึง 4 สมัย ทว่านับตั้งแต่ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ในปี 1995 พวกเขาก็ไม่เคยครองแชมป์รายการนี้อีกเลย 

อย่างไรก็ดี โอกาสที่ใกล้เคียงของพวกเขาก็เคยเกิดขึ้นในฤดูกาล 2018-19 ภายใต้การดูแลของ เอริค เทน ฮาก และแม้ต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกับ บาเยิร์น มิวนิค พวกเขาก็ไม่เคยแพ้ให้เลยใน 2 นัดที่พบกัน พร้อมผ่านไปเล่นรอบน็อคเอ้าท์ด้วยการคว้าอันดับ 2 ของกลุ่ม

ถึงหลายคนมองว่า อาแจ็กซ์ น่าจะจอดในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อถูกจับไปชนกับ เรอัล มาดริด แชมป์เก่า ทว่าทีมพลังหนุ่มของ เทน ฮาก ก็แผลงฤทธิ์ ด้วยการถล่ม ราชันชุดขาว หมดสภาพในเกมแรก 4-1 และแม้แพ้ในเกมต่อมา 2-1 แต่ก็เข้ารอบต่อไปด้วยสกอร์รวม 5-3

ยูเวนตุส กลายเป็นคู่แข่งรายต่อไป แต่ อาแจ็กซ์ ก็แกร่งเกินกว่าที่แข้ง ม้าลาย คาดคิด จนพ่ายไปด้วยสกอร์รวม 3-2 ผ่านเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทว่าน่าเสียดายที่เกือบเข้าชิง UCL เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปีแล้ว แต่ร่วงรอบตัดเชือกด้วยกฎประตูทีมเยือน

 

โอลิมปิก ลียง 2019-20

Lyon stuns Manchester City: Champions League 2019-20

แม้ฟอร์มรอบแบ่งกลุ่มอาจร่อแร่ แต่ โอลิมปิก ลียง ก็ยังเอาตัวรอดผ่านเข้าไปเล่นรอบน็อคเอ้าท์ได้สำเร็จ ในฐานะทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม G ทั้งๆที่ชนะแค่ 2 นัดเท่านั้น หลังยื้อแบ่งแต้มกับ แอร์เบ ไลป์ซิก ในนัดสุดท้าย

การเจอกับ ยูเวนตุส ในรอบต่อไป ทำให้หลายคนคิดว่า ลียง มาไกลได้แค่นี้ ทว่า ทีมจากลีกเอิง กลับฮึดสู้จนผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยกฎประตูทีมเยือน ก่อนที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 จะทำให้การแข่งขันระงับชั่วคราว และกลับมาแข่งอีกครั้งในเดือนสิงหาคม โดยเปลี่ยนมาเตะแค่เกมเดียวในสนามกลางที่ ยูฟ่า จัดขึ้นในโปรตุเกส

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แข็งแกร่งสุดๆ ก็พลิกล็อคโดน โอแอล อัดไปเหนือความคาดหมาย 3-1 แต่สุดท้ายพวกเขาก็มาไกลแค่รอบตัดเชือก เมื่อต้านทานฟอร์มอันร้อนแรงของ บาเยิร์น มิวนิค ว่าที่แชมป์ในปีนั้นไม่ไหว พ่ายไป 0-3

 

บียาร์เรอัล ฤดูกาล 2021-22

Official: Bayern Munich draw Villarreal CF in the Champions League quarter-finals - Bavarian Football Works

ถึงคว้าอันดับ 7 ในลาลีก้าฤดูกาล 2020-21 แต่ บียาร์เรอัล ได้สิทธิ์มาเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฐานะทีมแชมป์ยูโรป้า ลีก และแม้ต้องเจอกับโจทก์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมไปถึง อตาลันต้า ทีมดังจากอิตาลี พวกเขาก็เอาตัวรอดคว้าอันดับ 2 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ต่อไป

อูไน เอเมรี่ ต้องปาดเหงื่อ เมื่อต้องมาพบกับ ยูเวนตุส ที่แม้อยู่ในยุคผลัดเปลี่ยนแต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอยู่พอสมควร ทว่า ‘เรือดำน้ำสีเหลือง’ ก็ตบ ‘ม้าลาย’ สิ้นสภาพ ทั้ง 2 นัด ด้วยสกอร์รวม 4-1 ขณะที่ บาเยิร์น มิวนิค คู่แข่งในรอบต่อมา ก็โดนพลังม้ามืดจากสเปนพลิกล็อคเอาชนะไปได้ 2-1

นั่นทำให้ บียาร์เรอัล กลับมาเล่นรอบรองชนะเลิศใน UCL ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ฤดูกาล 2005-06 แต่ก็ไม่ง่ายนัก เมื่อต้องพบ ลิเวอร์พูล ที่ฟอร์มแรงสุดๆ และพ่ายไปก่อน 2-0 ในเลกแรกที่แอนฟิลด์ 

ถึงเกมที่ เอล มาดริกัล จะมีหวัง เมื่อลูกทีมของ เอเมรี่ ขึ้นนำ 2-0 ในครึ่งแรก ตามตีเสมอสกอร์รวมได้สำเร็จ แต่เกมรับของพวกเขาก็ต้านเกมรุกของ ‘หงส์แดง’ ที่แข็งแกร่งไม่ไหว พ่ายไปด้วยสกอร์รวม 5-2 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

มีดีแค่ปีเดียว : 10 แข้งดังแต่ปังฤดูกาลเดียวใน UCL
มีดีแค่ปีเดียว : 10 แข้งดังแต่ปังฤดูกาลเดียวใน UCL