UMBRO Velocita Alchemist นักเล่นแร่แปรธาตุ สตั๊ดสายสปีดที่ราคาสบายกระเป๋า

ถ้าจะพูดถึงแบรนด์กีฬาระดับโลกที่เก่าแก่ UMBRO (อัมโบร) คงเป็นแบรนด์อุปกรณ์กีฬาแรกๆที่แฟนๆรุ่นเก่าๆ อาจจะนึกถึง

กับแบรนด์จากอังกฤษที่อยู้ในช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์แห่งวงการลูกหนัง ไล่เรียงตั้งแต่การเป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งขันให้กับทีมชาติบราซิลที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 หรือการเป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งขันของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในชุดที่คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ 

หรือในส่วนของอุปกรณ์กีฬา หากใครยังจำประตูแจ้งเกิดของ ไมเคิล โอเว่น ในฟุตบอลโลก 1998 ที่กระชากผ่านกองหลังทีมชาตอาร์เจนติน่า เบบี้โกล ส่วมใส่ของเท้าสตั๊ด Umbro Speciali หรือประตูแรกกับเอฟเวอร์ตันของ เวนย์ รูนี่ย์ ที่ยิงใส่ เดวิด ซีแมน นายทวารของอาร์เซน่อล เขาส่วมใส่ Umbro XAI II ก่อนที่จะกลายมาเป็นตำนานของลูกหนังเมืองผู้ดี

ในวันนี้แบรนด์กีฬาที่อายุจะครบ 100 ปีในอีก 2 ปีข้างหน้าได้ทำการเปิดตัวรองเท้าสตั๊ดรุ่นใหม่อย่าง Velocita Alchemist ซึ่งเป็นรองเท้าสายสปีดอย่างเต็มตัว

พร้อมกันนี้ยังได้สองแข้งอนาคตไกลอย่าง “บาส” เสฏฐวุฒิ วงค์สายและ “ไนซ์” ชานุกุล ก๋ารินทร์ 2 ผู้เล่นจากทีม “มังกรโล่เงิน ” โปลิศ เทโร เอฟซี มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่จะส่วมใส่รองเท้ารุ่นนี้

Umbro Velocita Alchemist  สายสปีดจัดเต็มทุกเทคโนโลยี

สำหรับจุดเด่นของ “Velocita Alchemist” คือการนำเทคโนโลยี “Pro Weave” มาทำให้อัปเปอร์มีน้ำหนักเบาลงกว่าถึง 35 เปอร์เซ็นต์ โดยตัวรองเท้ามีน้ำหนักเพียงข้างละ 171 กรัม ถือเป็นรองเท้าที่เบาที่สุดของแบรนด์ในขณะนี้กรัม นอกจากนี้อัปเปอร์เป็นการรูปแบบชั้นเดียว หรือ Single Layer Upper ที่จะให้ความรู้สึกเบาบางแนบชิดไปกับส่วนเท้าด้านบนของผู้สวมใส่

ในส่วนความทนทานที่มักจะเป็นปัญหาของรองเท้าสายสปีด ทางผู้ผลิตได้ใช้เทคโนโลยีโครงสร้างบีวิงค์ บริเวณ UPPER (Biomimicked Bee-wing Structure) ยังได้ถูกนำมาใช้ทำให้อัปเปอร์แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยตัวดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจากตัวปีกของผึ้ง ที่มีความโปร่งใส แต่มีโครงสร้างด้านในปีกที่ให้ความแข็งแรง เพิ่มความทนทานให้กับตัวรองเท้า

นอกจากนี้รองเท้ายังมีส่วนช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยี Pro Weave หรือ การใช้วัสดุพลาสติกรีไซเคิล มาทักทอเป็นเส้นใย ซึ่งเป็นครั้งแรกของแบรนด์ และครั้งแรกของตัวเส้นใยที่ถูกนำมาใช้สำหรับชิ้นส่วนอัปเปอร์ หรือส่วนที่ห่อหุ้มเท้าด้านบนก่อนนำไปขึ้นรูปทั้งชิ้นด้วยการถักทอแบบชิ้นเดียวโดยไร้รอยต่อ

ส่วนชุดพื้นในรุ่น PRO ทางแบรนด์ได้ใส่ชุดพื้น Pebax Powered® Sprint+ ที่ออกแบบชุดพื้นมาจากข้อมูลการเคลื่อนที่ของนักฟุตบอลที่ต้องใช้ความเร็ว มีการใช้หมุนตัวหรือ Turn ด้วยความเร็ว โดยการวางตำแหน่งของชุดปุ่มสตั๊ด จะช่วยในการกระจายแรง เพื่อการยึดเกาะที่ดีที่สุด

ความรู้สึกเมื่อสวมใส่ครั้งแรกถือว่าเป็นรองเท้าที่ใส่ค่อนข้างยาก ตามสไตล์ของรองเท้าสายปีดที่เน้นไปที่ความกระชับ พอส่วมใส่เข้าไปก็รู้สึกได้ถึงความกระชับ และน้ำหนักที่เบาสมแล้วกับเทคโนโลยีที่พยายามใส่เข้ามา

ด้วยความกระชับทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัวตอบโจทย์นักเตะสายสปีดที่ต้องการความรวดเร็วในการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามตามไม่ทัน

ถือว่า Velocita Alchemist ที่ออกมาวางจำหน่ายมีสามสีให้ได้เลือกสามารถทำให้จุดแข็งของตัวรองเท้าเป็นจุดเด่นที่สุดได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งตัวปุ่มที่สั้น ทำให้สามารถเล่นกับพื้นหญ้าเทียม หรือสนามหญ้าที่แข็งๆได้ ส่วนอัปเปอร์ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลทำให้ไม่อมน้ำ สามารถใส่ลุยได้ในทุกสภาวะ โดยเฉพพาะหน้าฝนที่สนามอาจจะชื้นแแะแต่ตัวรองเท้าไม่อมน้ำ

อีกส่วนที่เป็นจุดแข็งของ Velocita Alchemist นักเล่นแร่แปลธาตุคือราคาที่ทำออกมาได้ต่ำกว่าคู่แข่งพิกัดเดียวกันแบบครึ่งต่อครึ่งในส่วนของรุ่นท็อปสุดม่ีราคาเพียงแค่ 4,790 บาท เท่านั้น ส่วนรุ่นเริ่มต้นก็มีราคาแค่ 1,490 บาท เท่านั้น

แถมเป็นรองเท้าที่สามารถหาซื้อได้โดยไม่ยากเพราะมีจำหน่ายที่ร้านกีฬาชื่อดังอย่าง SUPERSPORTS และ FUTBOL X ทุกสาขา ให้คุณได้ไปจับจองลองความเร็วได้แล้วในวันนี้