กอร์ดอนรายล่าสุด: 5 แข้งดาวรุ่งท็อฟฟี่โดนดูดด้วยพลังเงิน

กอร์ดอนรายล่าสุด: 5 แข้งดาวรุ่งท็อฟฟี่โดนดูดด้วยพลังเงิน

ตลาดซื้อขายนักเตะหน้าหนาวเดือนมกราคม 2023 ปิดตัวลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ใช้เงินไปจำนวน 815 ล้านปอนด์ ถือว่าแพงที่สุดมากกว่าปีที่แล้วถึง 3 เท่าเลยทีเดียว

เชลซี คือทีมที่ใช้เงินมากที่สุดในตลาดรอบนี้นับเฉพาะแค่ 2 ตัว เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ และมิคายโล มูดริค ก็ล่อไปเกือบ 200 ล้านปอนด์ แล้ว

แต่ทว่ามีอีกหนึ่งสโมสรที่ไม่ขยับเสริมทัพผู้เล่นใหม่แม้แต่รายเดียว คือ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน แถมพวกเขายังเสียตัวหลักอย่าง แอนโธนี่ กอร์ดอน เด็กปั้นจากทีมเยาวชนที่ย้ายหนีกันไปแบบดื้อ ๆ ไปอยู่กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 40 + 5 ล้านปอนด์

อย่างไรก็ตาม กอร์ดอน ไม่ใช่ผู้เล่นคนแรกที่ เอฟเวอร์ตัน ต้องเสียไป ในอดีตพวกเขาต้องจำต้องปล่อยแข้งดาวรุ่งออกจากทีมเพราะต้านพลังเงินไม่อยู่ ส่วนจะมีใครบ้างไปดูกันเลย

๐ ฟรานซิส เจฟฟ์เฟอร์ส (ซัมเมอร์ 2001 ค่าตัว 8 + 2 ล้านปอนด์ ย้ายไป อาร์เซน่อล)

เด็กหนุ่มจากเมือง ลิเวอร์พูล ที่ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของ เอฟเวอร์ตัน ด้วยวัยเพียง 16 ขวบ ในปี 1997 โดยเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า ประเดิมเกมแรกก็พบกับทีมใหญ่อย่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากนั้นเขาไต่เต้าขึ้นมาจนกลายเป็นตัวหลักของทีมมาตลอด เป็นดาวรุ่งอนาคตไกลเปรียบดั่งเพชรเม็ดงานของวงการฟุตบอลอังกฤษ

เจฟเฟอร์ส ลงเล่นให้กับเอฟเวอร์ตันในทุกรายการไปทั้งหมด 60 เกม ยิงได้ 20 ประตู เขากลายเป็นเป้าหมายในการเสริมทัพของ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ที่กำลังเบียดแย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยอาร์เซน เวนเกอร์ พยายามยื่นข้อเสนออยู่หลายครั้ง แต่เอฟเวอร์ตันก็แสดงจุดยืนคือไม่ต้องการขายดาวรุ่งฝีเท้าดีออกจากทีม

อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถต้านทานพลังเงินได้สุดท้าย เจฟเฟอร์ส ได้ย้ายไปอยู่กับ อาร์เซน่อล ในช่วงซัมเมอร์ปี 2003 ด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ บวกโบนัส 2 ล้านปอนด์ตามผลงานของนักเตะ ถือว่าเป็นการขายที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเอฟเวอร์ตัน ทำลายสถิติเดิมของ “บิ๊กดังค์” ดันแคน เฟอร์กูสัน ที่ย้ายไปอยู่กับ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เมื่อปี 1998-99

แต่ผลงานของเขากับ อาร์เซน่อล กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า แค่ปีแรกที่ย้ายไปได้ลงเล่นแค่ 10 เกมในทุกรายการยิงได้ 2 ประตู จากนั้นก็ถูกเอฟเวอร์ตันยืมตัวในปี 2003-04 กลับไป อาร์เซน่อล ก็ไม่ได้เล่นจนย้ายออกจากทีมเมื่อปี 2004 ไปอยู่กับ “ดาบอัศวิน” ชาร์ลตัน แอธเลติก เปิดประตูสู่การเป็นแข้งพเนจร ค่อย ๆ ลดระดับลงไปเล่นลีกล่าง ๆ จนแขวนสตั๊ดกับ แอคคริงตัน สแตนลีย์ ในปี 2013

๐ เวย์น รูนีย์ (ซัมเมอร์ 2004 ค่าตัว 20 +7 ล้านปอนด์ ย้ายไป แมนฯยูไนเต็ด)

อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลอังกฤษต่อจาก “เบบี้ โกล” ไมเคิ่ล โอเว่น โดย รูนีย์ ถือว่าเป็นเด็กท้องถิ่นจากเมืองลิเวอร์พูล ฉายแววดีจน บ็อบ เพนเดิลตัน แมวมองของ เอฟเวอร์ตัน ดึงเขาเข้าสู่ทีมเยาวชนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ และก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 16 ปี เมื่อฤดูกาล 2002-03 เกมแรกคือการลงสำรองในพบกับเซาธ์แฮมป์ตัน

ลูกยิงที่สร้างความโด่งดังให้กับเขามากที่สุดคือการพบกับ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ในเดือนตุลาคม 2002 เขาตะบันจากนอกเขตโทษระยะไกล 30 หลา ผ่านมือนายทวารจอมเก๋าอย่าง เดวิด ซีแมน เข้าไปอย่างสวยงามชนิดที่ อาร์แซน เวนเกอร์ แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเพราะสถิติไม่แพ้ใคร 30 เกมของพวกเขาได้ถูกหยุดลงเพราะเด็กหนุ่มที่อีก 5 วันจะอายุครบ 17 ปี

จากนั้นชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จัก และก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของ สเวน โกรัน อิริคส์สัน ในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 เขาตกเป็นเป้าหมายเสริมทัพของหลายทีม ทีมแรกที่ยื่นเข้ามาคือ นิวคาสเซิ่ล ด้วยจำนวนเงิน 20 ล้านปอนด์ ในตอนนั้น เอฟเวอร์ตัน พยายามรั้งเขาเอาไว้ด้วยการเสนอค่าเหนื่อยสัปดาห์ล่ะ 50,000 ปอนด์

อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มรายนี้มีความทะเยอทะยานมากกว่านั้น ทันทีที่เขาได้รู้ว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมฟุตบอลอันดับหนึ่งแห่งเกาะอังกฤษสนใจ รูนีย์ ไม่รอช้าขอขึ้นบัญชีย้ายทีมทันที ทำให้ “ท็อฟฟี่” ไม่ทางเลือกจำต้องปล่อยตัวออกจากทีมแลกกับเงินจำนวน 20 + 7 ล้านปอนด์

ทิ้งความเจ็บช้ำไว้ให้กับแฟนเอฟเวอร์ตันกับประโยคบนเสื้อของเขาที่เคยสกรีนว่า “Once a Blue, always a Blue” ในเกมเอฟเอ ยูธ คัพ สมัยที่เป็นเยาวชน เขาประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ทุกรายการภายใต้การลงเล่นในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และมีโอกาสย้ายกลับมาอยู่ที่ เอฟเวอร์ตัน ในช่วงบั้นปลายอาชีพ ก่อนจะไปแขวนสตั๊ดกับ ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ ในปี 2021 และปัจจุบันเป็นกุนซือของ ดีซี ยูไนเต็ด สโมสรจากศึกเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ส สหรัฐอเมริกา

๐ แจ็ค ร็อดเวลล์ (ซัมเมอร์ปี 2012 ค่าตัว 12 + 3 ล้านปอนด์ ย้ายไป แมนฯซิตี้)

เด็กหนุ่มจาก เซาธ์พอร์ท ในย่ายเมอร์ซีย์ไซด์ เป็นแฟนบอลตัวยงของ เอฟเวอร์ตัน มาตลอด เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมท้องถิ่น เบิร์คเดล ยูไนเต็ด ก่อนจะย้ายเข้าสู่ทีมอคาเดมี่ของ “ท็อฟฟี่” ทีมรักในปี 1998 โดยใช้เวลาอยู่กับทีมถึง 9 ปี จนในปี 2007 เขาถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ ด้วยวัย 16 ปี 284 วัน กลายเป็นสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นเกม ยุโรป ให้กับสโมสรเอฟเวอร์ตัน ในเกมยูฟ่า คัพ ที่พบกับ อาแซด อัลค์มาร์ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลเอฟเวอร์โตเนี่ยน และถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้เล่นมิดฟิลด์อนาคตไกลของทีมชาติอังกฤษ

ในปี 2012 ดีกรีของเขามาครบ ติดทีมชาติอังกฤษก็แล้ว คราวนี้ก็ต้องมองหาความสำเร็จกันบ้าง แม้บางคนจะมองว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่า แต่ ร็อดเวลล์ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาเลือกย้ายไปอยู่กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เพิ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาหมาด ๆ ไม่ได้ย้ายไปแต่ตัว ดันพกพาอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่ามาด้วย

ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ล้มเหลวที่สุดในชีวิตค้าแข้งของเขา เพราะได้ลงเล่นน้อยมาก ในปี 2013-14 ที่ แมนฯซิตี้ คว้าแชมป์เขาลงสนามในลีกไปเพียง 5 เกมเท่านั้น หลังจากนั้นก็เลือกย้ายไปอยู่กับ ซันเดอร์แลนด์ ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ พร้อมค่าเหนื่อยสูงสุดของสโมสร 70,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับแพทย์ของสโมสรเพราะเจอปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงาน และทีมก็ตกชั้นไม่หวนกลับมาบนลีกสูงสุดอีกเลย

ปัจจุบัน ร็อดเวลล์ ในวัย 31 ปี ยังค้าแข้งอยู่เขาเพิ่งเซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทีม ซิดนีย์ เอฟซี ในเอลีก ออสเตรเลีย

๐ จอห์น สโตนส์ (ซัมเมอร์ปี 2016 47.5 + 2.5 ล้านปอนด์ ย้ายไป แมนฯซิตี้)

ปราการหลังก้านยาวไม่ได้เป็นคนท้องถิ่นของย่านเมอร์ซีย์ไซด์ และไม่เคยผ่านทีมเยาวชนของ เอฟเวอร์ตัน เหมือนแอนโธนี่ กอร์ดอน เขาแจ้งเกิดกับ เบิร์นลีย์ จนเอฟเวอร์ตัน ไปคว้าตัวมาร่วมทีมเมื่อปี 2013 ด้วยค่าตัวเพียง 3 ล้านปอนด์เท่านั้น สโตนส์ เล่นได้อย่างโดดเด่นในถิ่นกูดิสัน พาร์ค ทำให้เขาถูกเรียกตัวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ในปี 2014 ในยุคที่ รอย ฮ็อดจ์สัน คุมทัพ

ทำให้ในตอนนั้นชื่อเขาได้รับความสนใจจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ โดยมี “สิงห์บลูส์” เชลซี ที่ตามจีบอย่างหนัก ยื่นข้อเสนอถึง 2 ครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธหมด

อย่างไรก็ตามในช่วงซัมเมอร์ปี 2016 เอฟเวอร์ตัน ไม่อาจจะปฏิเสธข้อเสนอก้อนโตที่มาจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ตกลงปล่อย สโตนส์ ให้ไปค้าแข้งในถิ่นเอติฮัต สเตเดี้ยม ด้วยค่าตัว 47.5 ล้านปอนด์ บวกโบนัสอีก 2.5 ล้านปอนด์ ทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่มีค่าตัวแพงเป็นอันดับ 2 ของโลกในเวลานั้นต่อ รองจาก ดาวิด ลุยซ์ ดีลนี้แฟนท็อฟฟี่อาจจะไม่เสียใจ เพราะไม่ได้เป็นเด็กท้องถิ่นที่เติบโตมากับทีม แถมยังทำกำไรได้อย่างมหาศาลด้วย

ปัจจุบัน สโตนส์ ในวัย 28 ปี ยังคงเป็นยอดกองหลังแถวหน้าของวงการฟุตบอลอังกฤษ เขาพัฒนาตัวเองจนเป็นตัวจริงของทีมชาติอังกฤษ ได้รับการฝึกฝนวิชาจาก เป๊บ กวาร์ดิโอล่า ที่ทำให้เขาสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งนอกจาก เซนเตอร์ฮาล์ฟ ยังสามารถเล่น แบ็คขวา และมิดฟิลด์ตัวรับได้ด้วย

๐ รอสส์ บาร์คลีย์ (มกราคมปี 2018 15 ล้านปอนด์ ย้ายไป เชลซี)

อีกหนึ่งผู้เล่นท้องถิ่นที่เติบโตมาในเมืองลิเวอร์พูล เขาเป็นลูกครึ่ง มีพ่อเป็นชาวไนจีเรีย ส่วนแม่เป็นคนอังกฤษ พ่อของเขาทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่อายุ 1 ขวบ ทำให้แม่เป็นผู้เลี้ยงดูมาตลอด เข้าร่วมทีมอคาเดมี่ของ เอฟเวอร์ตัน ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ในช่วงต้นปี 2010 เขาถูกคาดหมายว่าจะได้เล่นทีมชุดใหญ่ แต่ดันไปโชคร้ายได้รับอาการบาดเจ็บถึงขั้นขาหักในเกมรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ปะทะกับ อังเดร วิสดอม แนวรับดาวรุ่งของ ลิเวอร์พูล

หลังจากนั้นเขาถูกปล่อยให้กับสโมสรอย่าง เชฟฟิลด์ เว้นสเดย์ และลีดส์ ยูไนเต็ด ยืมตัว จนในฤดูกาล 2013-14 เขาเป็นกำลังหลักสำคัญของทีมอย่างเต็มตัว โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น กลายเป็นขวัญใจคนใหม่แห่งถิ่นกูดิสัน พาร์ค

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 บาร์คลีย์ เกือบจะได้ย้ายออกจาก เอฟเวอร์ตัน ไปอยู่กับ เชลซี ในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะ แต่ทว่าเขาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บต้องพักยาว อย่างไรก็ตามตลาดหน้าหนาวมกราคมปี 2018 เชลซี ก็หวนมาคว้าตัวเขาไปอีกครั้ง คราวนี้ได้เซ็นสัญญาสมใจด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ พร้อมเซ็นสัญญา 5 ปีครึ่ง ได้สวมเบอร์ 8 เหมือนสมัยที่อยู่กับเอฟเวอร์ตัน

แต่ผลงานก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร จนยกเลิกสัญญากับ เชลซี เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ก่อนย้ายไปค้าแข้งต่างแดนกับ นีซ ทีมในศึกลีกเอิง ฝรั่งเศส และดูเหมือนว่าฟอร์มของเขาจะดีขึ้นอีกครั้ง เมื่อลงเล่นไป 13 เกม ยิงได้ 3 ประตู