แจ้งเกิด เดอะ ซีรี่ย์ : กำเนิดรอย คีน กองกลางพันธ์ดุ

รอย คีน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1993 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกระชากตัว รอย คีน จากน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และกลายเป็นผู้เล่นตัวหลักนับตั้งแต่นั้นมา พร้อมกวาดแชมป์มาครองมากมาย ตลอด 12 ปีในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 7 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, คอมมูนิตี้ ชิลด์ 4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ อินเตอร์คอนติเนลทัล คัพ อย่างละสมัย 

อย่างไรก็ตาม กองกลางชาวไอริช ได้ระเบิดฟอร์มเก่งก่อนจะย้ายมาขายวิญญานให้ ‘ปีศาจแดง’ เสียอีก ในสมัยที่เล่นให้กับ ‘เจ้าป่า’ แม้เป็นช่วงเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น  

ในช่วงบั้นปลายอาชีพกุนซือของ ‘กุนซือปากกรรไกร’ ไบรอัน คลัฟ พาทีมจบอันดับ 8 ในลีก พร้อมทั้งเข้านัดชิงทั้งเอฟเอคัพ, ลีกคัพ และคว้าแชมป์ เซนิธ ดาต้า ซิสเต็ม คัพ แม้จะไม่ใช่ถ้วยที่ยิ่งใหญ่นัก แต่ก็ไม่ได้จบฤดูกาลแบบมือเปล่า ทว่าตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล 1992-93 บางอย่างกลับค่อยๆแย่ลงทุกที

เริ่มจาก นักเตะดาวเด่นอย่าง เท็ดดี้ เชอริ่งแฮม และ เดส วอล์คเกอร์  ถูกขายออกไป รวมไปถึง สจ๊วต เพียร์ซ ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน ในขณะที่ ไนเจล คลัฟ จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเนื่องจาก อนาคตของคลัฟผู้พ่อในถิ่น ซิตี้ กราวด์ แห่งนี้ ดูไม่แน่นอนเอาซะเลย และเขานั่นแหละที่เป็นผู้แนะนำให้พ่อเลิกคุมทีมตั้งแต่ปีก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ

ด้วยปัญหาที่มากมายตั้งแต่ยังไม่เริ่มฤดูกาล ทีมเจ้าป่าจะทำอย่างไรต่อไป?

 

แสงที่รอวันเฉิดฉาย

The Career of Roy Keane | Season 1991 / 1992 – Eire + Alba

เป็นที่รู้กันอยู่ว่าในช่วงนั้นทีมที่อยู่ภายใต้การจัดการของไบรอัน คลัฟ เขาจะไม่ยอมให้ทีมตกชั้นเป็นอันขาด สโมสรที่มีรากเหง้าเก่าแก่แบบนี้ แม้จะฟอร์มตกไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดจะปล่อยให้หล่นไปลีกรองกันง่ายๆ

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่รอย คีน ยังไล่หวดลูกบอลในเมืองคอร์กด้วยวัย 14 ปีนั้นเอง ตัวเขาได้ส่งจดหมายให้สโมสรหลายแห่งในอังกฤษเพื่อขอทดสอบฝีเท้า ซึ่งมีบ้างที่ตอบรับกลับมา และทีม ‘เจ้าป่า’ ก็เป็นหนึ่งในนั้นทีมเหล่านั้น แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ถ้าคนมีของ ย่อมมีคนมองเห็นอยู่ดี หลังแมวมองของฟอเรสต์นาม ‘โนเอล แม็คแค็ป’ เห็นฟอร์มของคีนในวัย 18 ฝน ที่ลงเล่นให้ โคห์ แรมเบอร์ ก่อนจะเซ็นสัญญาร่วมทีมด้วยค่าตัว 47,000 ปอนด์

 เมื่อก้าวเข้ามาสู่ทีม  คีโน่ ก็สร้างชื่อในนัดประเดิมสนามให้ฟอเรสต์เลย หลังจัดหนักกับปารตี้เมื่อคืนเกินไปหน่อย ทำให้เขาต้องมาเยือนในถิ่นแอนฟิลด์ด้วยสภาพเมาค้าง  แต่อย่างไรก็ตาม ไบรอัน คลัฟ ไม่ได้ใส่ใจกับอาการที่ คีน เป็นในตอนนั้นนัก แถมบอกไปด้วย วันนี้เขาได้เป็นตัวจริงในตำแหน่งปีกขวา ทำให้เด็กไอริชหน้าใหม่ต้องแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมทีมเป็นการใหญ่ 

ในช่วงการแข่งขันนั้น จอห์น บาร์นส์ ได้เขาปะทะกับกองกลางดาวรุ่ง ก่อนจะถามกลับไปว่า “คิดว่าเองเป็นใครวะ” แต่เขาพูดสวนกลับไปในสไตล์ลูกพี่คีโน่ว่า
“แล้วเป็นเชี่ยอะไรล่ะ”

เลียม โอคีน โค้ชทีมฟอเรสต์ในช่วง 10 ปีสุดท้ายของคลัฟ บอกกับ FourFourTwo ว่า “รอยดูแตกต่างเล็กน้อยในแง่ของความน่ายำเกรง”

“คุณอาจจะมองว่าเด็กใหม่ที่เขาในทีมจะต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไปก่อน จากนั้นคุณค่อยพาเขาไปเจอของจริง แต่กับคีนนั้น เขาปะทะไปเลยซึ่งๆหน้า ทำให้เขาดูเข้ารูปเข้ารอยอย่างรวดเร็ว”

ในช่วง 2-3 ปีต่อมา นอกจาก รอย คีนจะสร้างชื่อให้ตัวเองเป็นหนึ่งกองกลางดาวรุ่งที่น่าจับตามองในอังกฤษแล้วนั้น เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักเที่ยวกลางคืนตัวยง และ ผู้ดูแล ‘แบล็ค ออร์คิด’ ไนท์คลับในเขตอุตสาหกรรม ตรงขอบเมืองน็อตติงแฮม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘ไอซิส’ (ถูกปิดไปในปี 2009 ก่อนที่ชื่อจะกลายเป็น…ไม่ขอพูดดีกว่า)  

ในปี 1992 เขาได้ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านสแคริ่งตัน  ซึ่งห่างไป 10 ไมล์จากซิตี้ กราวด์ ก่อนจะเจอเทเรซ่า ว่าที่ภรรยาของเขาในอนาคต 

และจากเหตุการณ์ต้นฤดูกาล 1992-93 ที่เล่าไปในข้างต้น ช่างเป็นอะไรที่เหมาะเจาะเหลือเกิน เพราะหลังจากที่เชอริ่งแฮม และ วอล์คเกอร์ ถูกขายออกไป, เพียร์ซก็มีอาการบาดเจ็บ เมื่อหันมองไปที่ดาวรุ่งก็มีแค่ รอย คีนและคลัฟผู้ลูก ที่ทีศักยภาพเพียงพอที่จะเล่นในทีมชุดใหญ่  ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้เล่นตัวหลักของฟอเรสต์ในวัย 22 ปี

 

เสียงคร่ำครวญของรอย

Roy Keane: Remarkable story behind Irish midfielder's Forest debut | OTB  Sports

ในช่วงสัปดาห์แรกๆของฤดูกาล 1992-93 คีนได้กลายเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม ความสามารถของเขาเริ่มโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ จากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเขา ถึงแม้สภาพทีมโดยรวมจะค่อยๆแย่ลงอย่างช้าๆก็ตาม เพราะหลังจากที่ชนะลิเวอร์พูลได้ในเกมแรกได้ด้วยลูกยิงอำลาของเชอริ่งแฮม และชนะลีดส์ ยูไนเต็ด 4-1 ทีมของคีนก็ควานหาชัยชนะไม่เจอเลยจนถึงช่วงคริสมาสต์

หากมองตามแผงหนังสือพิมพ์ในช่วงนั้น คุณจะเจอข่าวพาดหัวแบบนี้เต็มไปหมด ประมาณว่า “คีนยกระดับให้ฟอเรสต์”, “คีน ผู้เล่นคนสำคัญของเจ้าป่า” “คีนแสดงให้เห็นว่าคู่ควร” “คีนช่วยฟอเรสต์ไว้อีกครั้ง”

คลัฟได้เขียนลงในหนังสือ Walking On Water ว่า “รอย คีน ดูเปล่งประกายในช่วงฤดูกาลที่แสนเลวร้าย ความมั่นใจของนักเตะหนุ่มๆดูแห้งเหือดหายไป สก็อต เกมมิลล์ก็ผลิตประตูไม่ได้ ไนเจล ลูกชายผมก็ดีไม่พอ มีแค่คีนเท่านั้นที่ทำได้ดีตามปกติของเขา ”

คีโน่ บอกกับ ดิ ออปเซิร์ฟเวอร์ ในช่วงครึ่งทางของฤดูกาลนั้นว่า “ผมแค่พยายามเป็นแสงไฟให้ทีม ถ้าผมทำได้ ผมไม่ได้อยากเป็นแก็ซซ่า ผมไม่สนอิตาลีหรืออะไรทั้งนั้น ผมแค่โฟกัสกับเกมต่อไปของฟอเรสต์ ไม่ใช่มิลาน ผมแค่อยากจะเป็นตัวจริง มีเกมที่ดีและคว้าชัยมาให้ได้”

ในตอนนั้นคีนไม่ใช่แค่เป็นนักเตะที่ดีที่สุดของเจ้าป่า แต่ยังเป็นนักเตะที่ดีที่สุดถึง 3 ตำแหน่งในทีมด้วยกัน , กองกลางประเภทขึ้นสุดลงสุด, ทำงานหนักเป็นสองเท่าเพราะนักเตะคนอื่นในแดนกลางใช้งานได้ค่อนข้างจำกัด, และอีกหลายเกมในฤดูกาลนั้นที่ถูกถอยลงไปเล่นเป็นกองหลังตัวกลาง

แม้ คลัฟจะไม่สามารถปิดรูโหว่ที่ เดส วอล์คเกอร์ ทิ้งเอาไว้เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทำให้ คีนดูเหมือนจะเป็นทางออกสุดท้าย และก็ดูเหมือนจะได้ผล หลังจาก 5 เกมที่แข้งชาวไอริชเป็นปราการหลังตัวกลางจำเป็น ในเดือนตุลาคม ทีมเจ้าป่าเสียประตูไปแค่ 2 ลูกเท่านั้น!

 

ดีเกินไปในตำแหน่งกองหลัง

Roy Keane at Nottingham Forest: Untold stories of the player and assistant  manager – The Athletic

“หน้าที่ของกองหลังดูเป็นงานง่ายเกินไปสำหรับเขานะ” เลียม โอเคน กล่าวกับ FFT “เขาอยากพัฒนาตัวเองในตำแหน่งกองกลาง เขาเล่นลูกโหม่งได้ดี มีสปิรงเท้าที่ยอดเยี่ยม เพราะงั้นให้เขาเล่นเป็นกองหลัง ดูจะง่ายเกินไปสำหรับเขา เราก็เลยปรับให้คีนมาเล่นตรงกลางเหมือนเดิม”

 ผลจากการที่ให้ รอย คีนลงไปยืนในตำแหน่งกองหลังทำให้ฟอเรสต์ต้องประสบปัญหากับเกมรุกที่ดูตื้อตัน เพื่อแลกกับผลการแข่งขันที่ดูน่าพอใจขึ้น เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนั้น ไนเจล คลัฟ ที่เป็นดาวซัลโวของทีม ยิงไปแค่ 13 ประตูเท่านั้น (3 จุดโทษ) ทำให้สามารถพูดได้ว่า เขาคือแนวรับที่ดีที่สุด,กองกลางที่ส่งผลกับเกมมากที่สุด และ ตัวรุกที่มีพลังมากที่สุด

“ไม่ว่าคุณจะให้เขาเล่นตำแหน่งอะไร เขาก็ทำได้สุดยอดไปหมด” สจ๊วต เพียร์ซ กล่าวเสริมกับ FFT “เขาเคยเล่นมาแล้ว ทั้งกองหลัง,กองกลาง เขาเหมือนดาวเด่นที่โรงเรียน ไม่ว่าตำแหน่งอะไรที่คุณต้องการ เขาก็จัดให้คุณได้ทั้งนั้น”

จากผลงานที่ออกมา ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการตกเป็นข่าวลือตามคอลัมน์ต่างๆ “ผมรู้อยู่แล้ว ว่ามีหลายทีมต้องจดชื่อเขาไว้ในลิสต์” คลัฟบอก “พวกเขาคงไม่ทำเมินแน่ๆ มีหลายทีมสนใจในตัวเขา ทั้งเคนนี่ ดัลกริชจากแบล็คเบิร์น, อาร์เซน่อล กับ มิลานด้วย รวมถึง แอสตัน วิลล่า ของรอน แอ็ตกินสันก็เช่นกัน ที่ยกย่องว่า คีนคือหนึ่งในผู้เล่นที่จะทำให้ทีมเขาชนะทุกอย่างได้”

เรื่องสัญญาของคีนกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกไปซึ่งนั้นเป็นผลดีกับตัวเขาเอง แต่การเจราต่อรองก็ยังคงดำเนินต่อไป โดย รอน เฟนตัน ผู้ช่วยของคลัฟ จนเกิดความไม่พอใจของเหล่าแฟนบอล รวมไปถึงเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัวด้วย  และในที่สุด เพียร์ซ ต้องออกมาพูดกับผู้เล่นในทีมว่า คีนสมควรจะได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุด หยุดโวยวายกันได้แล้ว ซึ่งเรื่องทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับฟอร์มการเล่นของตัวคีนเลยแม้แต่น้อย

ต่อมาคีนได้ทำเรื่องน่าตกใจเล็กน้อยหลังยิงประตูเซาธ์แฮมตันได้ในเอฟเอ คัพ คีนบรรจงจูบตราสโมสรบนเสื้อเพื่อฉลองการทำประตู ทำให้ผู้เล่นคาดว่า คีนจะอยู่กับทีมต่อไปหลังจบฤดูกาล แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว แม้คีนจะทำให้เห็นว่าเขามุ่งมั่นมากแค่ไหน แต่ในใจของเจ้าตัวเองก็ดูไม่แน่นอนนัก

และคลัฟเป็นคนที่ไขข้อข้องใจเรื่องการย้ายทีมของคีนให้สาธารณะได้รับรู้ หลังบอกกว่า “รอน ผู้ช่วยผม จะให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น หรือค่าเซ็นสัญญาก็ตาม แต่เราจะปล่อยตัวเขาออกไปก็ต่อเมื่อฟอเรสต์ตกชั้น”

หลังจากนั้น คลัฟพาทีมพักเบรกสั้นๆจากการซ้อม ณ บาร์ของโรงแรมที่ทีมพักอยู่นั้นเอง ในช่วงที่คีนและเพื่อนๆกำลังเตรียมตัวซ้อมในรอบบ่ายต่อไป จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเขามาหาถามคีนว่าช่วยบริจาคชุดชั้นในเพื่อนำมาประมูลในงานการกุศลได้หรือไม่ 

ซึ่งแน่นอนว่าคีนไม่เอาด้วยอยู่แล้ว แต่ก็เสนอกลับไปว่าเปลี่ยนเป็นเซ็นชื่อทีมชาติไอร์แลนด์แทน จนเกิดการโต้เถียงขึ้น ทำให้หญิงคนนั้นไม่พอใจขว้างปาของใส่ยกใหญ่ ก่อนกองกลางไอริชจะโต้ตอบกลับด้วยการวางมวยกับสามีของหญิงคนนั้นบนพื้นแทน

 

ฉันรักนายว่ะ ไอหนุ่มไอริช

Roy Keane: Brian Clough was a better boss than Sir Alex Ferguson | Daily  Mail Online

จากเหตุการณ์นั้น คีนถูกส่งตัวกลับบ้านและถูกปรับด้วย แต่ที่น่าสนใจคือการกระทำของคีนในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้คลัฟขุ่นเคืองใจอะไรเลย รวมถึงเหุตุการณ์ก่อนหน้านี้ 2-3 ปี เมื่อคลัฟอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด ได้เดินไปทั่วห้องแต่งตัว และด่ากราดนักเตะไปทั่วว่าขี้เกียจ คลัฟบอกกับนายทวาร ‘มาร์ค ครอสลีนย์’ ว่า “จะซื้อบ้านที่น็อตติ่งแฮมหรือไสหัวแล้วไปเล่นให้เบิร์นลี่ย์ ” แต่พอถึงคีน คลัฟกลับพูดว่า “ฉันรักนายว่ะ ไอหนุ่มไอริช” โอเคน ยังกล่าวเสริมว่า “เมื่อพูดคุยกันจบแล้ว พวกเขาต่างชื่นชมกันและกัน” 

ทีมของคลัฟทำได้ดีในเดือนมกราคมและกุมพาพันธ์ หลังพาทีมคว้าชัย 5 นัด จาก 8 เกม แพ้ไปแค่ 2 เกมเท่านั้น (โดยที่คีนยืนในแดนกลางเป็นส่วนใหญ่) แต่แล้วจุดจบของเจ้าป่าบนลีกสูงสุดก็ใกล้เข้ามาถึง 

แม้จะชนะไปอีก 2 เกมในเดือนเมษายน แต่การพ่ายแพ้ให้กับอาร์เซน่อลในเกมต่อมา ทำให้ฟอเรสต์ตกชั้นจากลีกสูงสุดอย่างเป็นทางการ โดยที่ยังเหลืออีก 3 นัด แม้คีนจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ต้นสังกัดรอดพ้นจากหายนะที่กำลังเกิดขึ้น แต่คนแค่คนเดียว ต่อให้เป็นคนอย่าง ‘รอย คีน’ ก็ไม่สามารถช่วยทีมที่หลุดพ้นจากความล้มเหลวได้

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คลัฟเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จก็คือความสามารถในการขัดเกลาผู้เล่นไร้ชื่อให้เขามาอยู่ในยอดทีมได้ แม้จะทำได้ไม่เหมือนเก่าหลังจากที่ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ได้ออกจากทีมไปในปี 1982 แต่คลัฟก็ยังเจอเพชรเม็ดงามที่ชื่อว่า ‘รอย คีน’ เป็นคนสุดท้าย

หลังจากที่เส้นทางของคีนกับฟอเรสต์ได้สิ้นสุดลง แบล็คเบิร์นก็ยื่นข้อเสนอให้ทีมด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ โดยที่ คีน รับปากกับเคนนี่ ดัลกริช ว่าจะย้ายมาเล่นให้ถิ่น อีวู้ด ปาร์ค แน่นอน แต่ทว่า ชายที่ชื่อ ‘อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’ ก็เข้ามาปาดหน้าดัลกริช คว้ากองกลางพันธ์ดุผู้นี้มาร่วมทัพ ‘ปีศาจแดง’ และอยู่ยาวในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ถึง 12 ปี ด้วยกัน

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับแมนฯยูไนเต็ด แต่ฤดูกาลสุดท้ายของคีนกับฟอเรสต์ คือตอนที่เขาโชว์ให้แฟนทั่วโลกได้เห็นว่าเขาคือของจริง

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

กลัวที่ไหน : รวมพล 9 คนลูกหนังกล้างัดลูกพี่คีโน่