วันที่ 28 สิงหาคม 2021 กลายเป็นวันที่ อาร์เซน่อล ต้องพบกับผันร้าย เมื่อบุกไปพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบหมดสภาพ 5-0 แต่ในวันเดียวกันนี้เมื่อ 10 ปีก่อน เหล่า ‘กูนเนอร์ส’ ก็ต้องเจอกับเรื่องราวเลวร้ายไม่ต่างกัน
ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า เป็นรอง ‘เรือใบสีฟ้า’ ตั้งแต่ 12 นาทีแรก เมื่อโดนนำไปก่อนถึง 2 ลูก แถมต้องมาเหลือผู้เล่นอีก 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 35 เมื่อ กรานิต ชาก้า โดนใบแดงไล่ออก ก่อนที่ผลลัพธ์ท้ายที่สุดจบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบที่ไม่มีทรงอดีตทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยหลงเหลืออยู่เลย
และดูเหมือนว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับสาวก ‘ปืนใหญ่’ ไม่น้อย เมื่อความปราชัยในเกมลีกนัดดังกล่าว ดันไปตรงกับวันที่พวกเขาโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไล่ถลุงแบบยับเยิน 8-2 ช่วงฤดูกาล 2011-12 แบบพอดีเป๊ะ
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาคอบอลไปย้อนระลึกกับหนึ่งในเกมที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับแฟนบอล อาร์เซน่อล มากที่สุดช่วง 10 ปีที่แล้วจากทีมสีแดงในแมนเชสเตอร์ ก่อนโดนทีมสีฟ้าจากเมืองเดียวกันไล่ถลุงในอีก 10 ปีต่อมา
ฟอร์มไม่ดีแถมเสียตัวหลัก
นับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกก่อตั้งขึ้นมาในปี 1992 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ถือเป็นคู่ปรับที่คอยลุ้นแย่งแชมป์ลีกเรื่อยมา ตั้งแต่ยุค 90 แต่ว่าในช่วงปลายยุค 2000 ‘ปืนใหญ่’ ไม่ได้ทีมที่ถูกยกให้เป็นตัวเต็งลุ้นแชมป์อีกต่อไป แถมถูก เชลซี แซงหน้าไปด้วยซ้ำ
ทีมจากลอนดอนเหนือที่ร้างแชมป์ลีกตั้งแต่ปี 2004 เริ่มต้นฤดูกาล 2011-12 ด้วยการปล่อย เชส ฟาเบรกาส กองกลางกัปตันทีมให้กับ บาร์เซโลน่า รวมไปถึง ซามีร์ นาสรี่ ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยกระดับขึ้นมาเป็นทีมเบอร์ต้นๆในเกาะอังกฤษ อีกทั้งยังไม่มีการเสริมแข้งใหม่ที่มีผีเท้าทัดเทียมจนทำให้ ‘กูนเนอร์ส’ กังวลเช่นกัน
อาร์เซน เวนเกอร์ ประเดิม 2 นัดแรกในฤดูกาลดังกล่าวได้ไม่สวยนัก เมื่อเสมอกับ นิวคาสเซิล ในเกมแรก ก่อนพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดต่อมา แม้สามารถเอาชนะ อูดิเนเซ่ ได้ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งออฟระหว่างนั้นก็ตาม
เมื่อเทียบฟอร์มกับ ‘ปีศาจแดง’ คู่แข่งของเขาในเกมนัดที่ 3 ในฤดูกาลนั้นแล้วต้องบอกว่าต่างกันพอสมควร เนื่องจากทีมจากแมนเชสเตอร์ คว้าชัยได้ 2 เกมแรกที่พบกับ เวสต์บรอม และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สมดีกรีแชมป์เก่า
คุณภาพผู้เล่นที่ห่างชั้น
ในเกมนั้นเอง ยูไนเต็ด ทีมเจ้าบ้านเลือกใช้ 11 ตัวจริงเหมือนเกมที่อัด ‘ไก่เดือยทอง’ นัดก่อน 3-1 โดยวาง ดาบิด เด เคอา ที่เพิ่งย้ายมาจาก แอตเลติโก้ มาดริด เป็นผู้รักษาประตู มีคู่เซ็นเตอร์แบ็คเป็น จอนนี่ อีแวนส์ กับ ฟิล โจนส์ ส่วน พาทริซ เอวร่า ประจำการแบ็คซ้ายพร้อมสวมปลอกแขนกัปตันทีม และใช้ คริส สมอลลิ่ง ลงเล่นเป็นแบ็คขวาจำเป็น
แอนเดอร์สัน คุมเกมแดนกลางร่วมกับ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ และใช้ แอชลี่ย์ ยัง กับ หลุยส์ นานี่ โจมตีทางฝั่งริมเส้น พร้อมวาง เวย์น รูนี่ย์ เป็นกองหน้าล่าประตูร่วมกับ แดนนี่ เวลเบ็ค มหาเทพขวัญใจแฟนผี
สำหรับ อาร์เซน่อล หากเทียบชื่อชั้นที่ เวนเกอร์ ส่งลงเป็นตัวจริงในเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ดูค่อนข้างเป็นรองพอสมควร ทั้งนายทวารอย่าง วอจเซียค เซสนี่ แผงหลังอย่าง โยฮัน ฌูรู, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ และ เลือกใช้ อาร์มันด์ ตราโอเร่ แข้งดาวรุ่งลงเล่นเป็นแบ็คซ้าย รวมไปถึง คาร์ล เจนกินสัน แบ็คขวาดาวรุ่งที่เพิ่งย้ายจาก ชาร์ลตัน แอธเลติก ก็ได้ลงสนามเช่นกัน
ส่วนแดนกลางใช้ ฟรานซิส โกเกอแล็ง เป็นตัวรับ และมี อารอน แรมซี่ย์ กับ โธมัส โรซิคกี้ สร้างสรรค์เกมบุก และตัวรุก 3 คนใช้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ เป็นหน้าเป้า โดยมี ธีโอ วัลค็อตต์ กับ อังเดร อาชาวิน เป็นปีกโจมตีด้านข้าง
อีกทั้ง เมื่อเทียบกำลังบนม้านั่งสำรองจะพบว่าห่างชั้นหลายเท่าตัว เนื่องจากทีมของ เฟอร์กี้ มีดาวเตะมากประสบการณ์ที่สามารถลงมาเปลี่ยนเกม ทั้ง ริโอ เฟอร์ดินานด์, ไรอัน กิ๊กส์, ปาร์ค จี ซอง, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ หรือ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ
ขณะที่ในซุ้มม้านั่งของ เวนเกอร์ มีแต่ดาวรุ่งเป็นส่วนใหญ่ ทั้ง ลูคัส ฟาเบียนสกี้, อิกนาซี่ มิเกล, โอกูซาน ออซยาคุป, อเล็กซ์ อ็อกเล็ด แชมเบอร์เลน, เฮนรี่ แลนส์บูรี่, กิล ซูนู เนื่องจากผู้เล่นชุดใหญ่มีปัญหาบาดเจ็บถึง 8 คน
ส่วน มารูยาน ชามัค เป็นตัวสำรองคนเดียวที่อายุเกิน 25 ปีในวันนั้น แต่ก็ไม่หลงเหลือฟอร์มของกองหน้าที่เคยพา บอร์กโดซ์ คว้าแชมป์ลีกเอิงเลย นับตั้งแต่ย้ายมาเล่นในอังกฤษเมื่อปี 2010
มหกรรมยำปืนใหญ่
เมื่อเสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขันดังขึ้น ยูไนเต็ด ใช้เวลาราวๆ 22 นาทีก็ยิงประตูแรกในเกมได้จาก เวลเบ็ค ซึ่งจริงๆฝั่งอาคันตุกะก็มีโอกาสตีเสมอได้เช่นกันในอีก 5 นาทีต่อมา เมื่อ อีแวนส์ ทำฟาวล์ วัลค็อตต์ ในกรอบ 18 หลาจนเสียจุดโทษ แต่ลูกยิงของ ฟาน เพอร์ซี่ โดน เด เคอา เซฟไว้ได้ และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการฆาตกรรมหมู่แข้งปืนโตในโรงละครแห่งความฝัน
ยัง ที่เพิ่งย้ายจาก แอสตัน วิลล่า ในซัมเมอร์ปี 2011 บรรจงปั่นสุดสวยให้ ‘ปีศาจแดง’ ออกนำ 2-0 ในนาทีที่ 28 จากนั้น รูนี่ย์ ก็กดประตูที่ 150 ให้กับสโมสรด้วยลูกฟรีคิกสุดเหนือในนาทีที่ 41 แต่ช่วงทดเวลาครึ่งแรก วัลค็อตต์ ก็ยิงประตูให้ ‘กันเนอร์ส’ ไล่ตามมาเป็น 3-1
อย่างไรก็ตาม ทีมของเวนเกอร์ โดนพับสนามบุกอยู่ฝั่งเดียวในช่วง 20 นาทีของครึ่งหลัง พร้อมโดนทะลวงตาข่ายเพิ่มอีก 3 ลูก จาก รูนี่ย์, นานี่ และ โอปป้าปาร์ค ในนาทีที่ 64, 67 และ 70 ตามลำดับ
แม้ RVP จะยิงให้ทีมไล่มาห่างๆในนาทีที่ 74 แต่ เจนกินสัน ก็โดนกรรมการควักใบเหลืองที่ 2 ไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 77 ก็ทำให้ทีมของ เวนเกอร์ เสียเปรียบตัวผู้เล่นไปอีก
ต่อมา วาสซ่า ก็กดเแฮตทริกด้วยจุดโทษในนาทีที่ 82 และปิดท้ายด้วยลูกปั่นโค้งๆของ อาจารย์ยังในนาที่ 90+1 ช่วยให้ แมนฯยู ถล่ม ‘ปืนใหญ่’ ด้วยสกอร์ที่ไม่มีคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น 8-2 พร้อมมีสักขีพยานร่วมเห็นเหตุการณ์นี้ในสนามกว่า 75,448 คน
ผลกระทบหลังเกม
นี่เป็นความปราชัยที่ย่อยยับที่สุดของ เวนเกอร์ ในฐานะกุนซือของ อาร์เซน่อล พร้อมจารึกสถิติพ่ายแพ้ย่ำแย่ที่สุดของสโมสรในเกมลีกนับตั้งแต่เกมที่แพ้ เวสต์แฮม 7-0 ในปี 1927 หรือ 84 ปีก่อน อีกทั้งยังเป็นการเสียประตู 8 ลูกในเกมเดียว นับตั้งแต่ปี 1896 ที่แพ้กับ ลัฟโบโร่ สมัยดิวิชั่น 2 ยุคเก่า
หลังเกมนัดนี้ นี่กลายเป็นครั้งแรกที่ กุนซือชาวฝรั่งเศส ถูกสื่อถามเรื่องยื่นซองขาวเซ็นใบลาออกเพื่อรับผิดชอบผลงาน ซึ่งเจ้าตัวก็ยืนกรานว่าขอทำหน้าที่นายใหญ่ใน เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยอมรับว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าอับอายเช่นกัน แม้อ้างว่ารูปเกมไม่ได้แย่เหมือนที่สกอร์บ่งบอกก็ตาม
“มันเป็นความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่ฉันไม่เปรียบเทียบว่าเจ็บปวดที่สุดหรือไม่ มันเจ็บปวดและแค่นั้นเอง เราเล่นเกมลีกมา 3 เกมและแชมเปี้ยนส์ลีก 2 เกม และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลคุณจะสามารถตัดสินใจได้อย่างสมดุล” เวนเกอร์ กล่าวกับ BBC หลังเกม
“แน่นอนว่ามันเจ็บปวด มันน่าขายหน้า แต่คุณคงเห็นแล้วว่าร่างกายเราไม่ฟื้นตัวดีตั้งแต่คืนวันพุธ (เกมที่ชนะ อูดิเนเซ่) เราหมดสิทธิ์ใช้งานผู้เล่น 8 คน พวกเขามีคลาสกว่าและพวกเขาก็ลงโทษเรา”
นอกจากนี้ เวนเกอร์ ยังแสดงความขอโทษเหล่า ‘กูนเนอร์ส’ ที่เดินทางมาชมเกมเยือนในนัดนี้ กว่า 3,000 คน โดยทางสโมสรเสนอตั๋วฟรีสำหรับเกมเยือนหลังจากเกมวันนั้นด้วย
ทางด้าน เฟอร์กูสัน แม้คว้าชัยชนะแบบท่วมท้น แต่ก็แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกุนซือคู่ปรับจากลอนดอน โดยกล่าวหลังเกมนั้นว่า “เขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ และจะยังคงเป็นต่อไปเมื่อเขาได้นักเตะตัวหลักกลับมา”
ไม่แปลกที่หลังเกมนั้น เวนเกอร์ จะเดินหน้าเสริมทัพแบบเต็มสูบในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดนักเตะ โดยเซ็นสัญญาแข้งใหม่ถึง 4 คน ประกอบด้วย ปาร์ค ชู ยอง กองหน้าจากโมนาโก, อังเดร ซานโตส แบ็คจอมบุกจาก เฟเนห์บาห์เช่, แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ กองหลังจาก แวร์เดอร์ เบรเมน, มิเกล อาร์เตต้า จาก เอฟเวอร์ตัน และปิดท้ายด้วยการยืมตัว ยอสซี่ เบนายูน จาก เชลซี
ขณะเดียวกัน ตราโอเร่ แบ็คซ้ายดาวรุ่งที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ในเกมนั้น ถูกขายให้กับ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ทีมน้องใหม่อย่างรวดเร็ว
ผลงานของทีมค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ แน่นอนว่าอาจไม่กลับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้เหมือนเก่า แต่อย่างน้อย เวนเกอร์ ก็สามารถพาทีมทะยานขึ้นจบอันดับ 3 ได้ในฤดูกาล 2011-12
คงไม่ใช่คำพูดเกินเลยนัก หากจะบอกว่าความพ่ายแพ้ใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 8-2 คือจุดเปลี่ยนให้ อาร์เซน่อล ได้สติและกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง
น่าเหลือเชื่อไม่น้อยเช่นกันที่อีก 10 ปีต่อมาในวันเดียวกัน ‘ปืนใหญ่’ ภายใต้การดูแลของ อาร์เตต้า จะพ่ายให้กับทีมจากแมนเชสเตอร์อีกครั้ง แม้เป็นสโมสรสีฟ้า แต่ก็โดนอัดไปแบบหมดสภาพไม่ต่างกัน
ไม่ว่าเกมในวันที่ 28 สิงหาคม เมื่อปี 2011 หรือปี 2021 ก็จะเป็นหนึ่งในความทรงจำอันเลวร้ายที่ ‘กูนเนอร์ส’ ยากจะลืมเลือน และคงจดจำไปตราบวันสุดท้ายของชีวิตก็เป็นได้
บทความที่เกี่ยวกับ อาร์เซนอ่ล
