แฟนตั้งตารอ : ทิศทางไบรท์ตันยุคต่อไปในมือเด แซร์บี้

แฟนตั้งตารอ : ทิศทางไบรท์ตันยุคต่อไปในมือเด แซร์บี้ 

หลังจาก แกรห์ม พ็อตเตอร์ ลาทีมไปคุม เชลซี ในช่วงสัปดาห์ก่อน ตำแหน่งผู้จัดการทีมของ ไบรท์ตัน ก็ว่างเว้นไปช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้กุนซือใหม่มาแทนที่แล้ว นั่นก็คือ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ แต่เขาจะยกระดับทีมชายฝั่งแดนใต้ได้อย่างไร?

กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ว่างเว้นจากการทำงาน หลังจาก ลา ชัคตาร์ โดเนสต์ค ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจาก ยูเครน ถูกรัสเซียรุกราน และผลงานก่อนหน้านนั้นก็คือการคุม ซาสซูโอโล่ เป็นเวลา 3 ฤดูกาล พร้อมสไตล์การเล่นที่น่าสนใจไม่น้อย

นายใหญ่วัย 43 ปี มีทั้ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า เป็นต้นแบบ และเขาก็เป็นอีกคนที่มีความทะเยอทะยานอีกคนในวงการ เมื่อพา ซาสซูโอโล่ จบอันดับที่ 8 ถึง 2 ปีติดต่อกัน แม้มีปัจจัยและทรัพยากรด้อยกว่าหลายๆทีมในเซเรียอา อีกทั้งมีการทำกำไรจากการขายดาวเด่นออกไปด้วยในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง

สถานการณ์ปัจจุบันใน เอแม็กซ์ สเตเดี้ยม คล้ายคลึงกับตอนที่ ‘นกนางนวล’ กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ในมือของ พ็อตเตอร์ เมื่อสโมสรเลือกเฟ้นหากุนซือหัวก้าวหน้าอย่าง เด แซร์บี้ เป็นเป้าหมายแรก ซึ่งในขณะที่ทีมกำลังรั้งอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก่อนเข้าสู่ช่วงพักเบรกทีมชาติ

ดังนั้น สไตล์การคุมทีมของ นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยน จะเป็นอย่างไร และ เขาจะเสนออะไรใหม่ให้กับ ไบรท์ตันได้บ้าง? UFA ARENA จะพาไปวิเคราะห์กันผ่านบทความชิ้นนี้

 

สไตล์การเล่น

Sassuolo hire coach Roberto De Zerbi on two-year contract

เมื่อนำผลงานของไบรท์ตันในฤดูกาลนี้ มาเปรียบเทียบกับ ซาสซูโอโล่ ในฤดูกาล 2020-21 ซึ่งเผยให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันที่ชัดเจน ทั้งในด้านกลยุทธ์ และการเล่นเกมบุกเกือบทั้งหมด เพียงแต่ ทีมของ เด แซร์บี้ จะพยายามให้ลูกทีมเลี้ยงบอลมากกว่า และเล่นลูกสวนกลับน้อยกว่า จากกราฟการเปรียบเทียบของ Sky Sports

ขณะเดียวกัน สไตล์การคุมทีมของกุนซือชาวอิตาเลี่ยน ก็เน้นการครองบอลเป็นหลัก โดยควบคุมเกมผ่านการครอบครองบอล เหมือน กวารดิโอล่า หรือ บิเอลซ่า กุนซ์อต้นแบบที่เขายืดถือ และพยายามออกบอลยาวค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับ ‘นกนางนวล’

แผนการเล่นหลักๆที่ เด แซร์บี้ ใช้คือระบบ 4-2-3-1 ซึ่งเขาใช้ถึง 32 จาก 38 เกมในเซเรียอา ช่วงฤดูกาลสุดท้ายที่เขาคุม ซาสซูโอโล่ รวมถึงใช้งานเป็นหลักตอนคุม ชัคตาร์ ด้วย ขณะที่ พ็อตเตอร์ วางระบบกองหลัง 3 ตัว ซึ่งใช้เกือบครึ่งในเกมพรีเมียร์ลีกฤดูกาลก่อน และไม่ได้ใช้แค่เกมเดียวในฤดูกาลนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ไบรท์ตัน ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมมียืดหยุ่นในการยืนตำแหน่งอยู่แล้วในช่วง 3 ปีที่ พ็อตเตอร์ กุมบังเหียน

ส่วนการยืนตำแหน่ง กุนซือชาวอิตาเลี่ยน มักให้ ฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้างยืนขึ้นสูงกว่ากองกลางตัวรับทั้ง 2 คน ขณะที่กองหน้าจะถอยลงมายืนไลน์เดียวใกล้ๆกับ 3 แนวรุกของทีม

ในทางกลับกัน อดีตกุนซือ ซาสซูโอโล่ ไม่น่าจะเน้นการครอสบอลบ่อยๆ หรือการเล่นกลางอากาศ ด้วยสถิติการครอสบอลเพียง 589 ครั้ง หรือจ่ายบอลยาวเพียง 1,637 ครั้ง น้อยกว่าใครในเซเรียอาฤดูกาล 2020-21 เน้นให้เห็นถึงแนวทางที่เขาต้องการในการต่อบอลสั้นและเล่นบอลบนพื้นมากกว่า

 

ครองบอลคือหัวใจหลัก

Brave Brighton boss Roberto De Zerbi REFUSED to leave Shakhtar team and  slept on hotel floor as Russia invaded Ukraine | The Sun

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ซาสซูโอโล่ ในมือของ เด แซร์บี้ เป็นทีมที่เน้นการครองบอลและออกบอลไปมาเหนือสิ่งอื่นใด เพราะในเซเรียอา ฤดูกาล 2020-21 ทีมจ่ายบอลสำเร็จถึง 19,549 ครั้ง, ครองบอลเฉลี่ย 61% สัมผัสบอล 29,165 ครั้ง มากที่สุดเหนือทุกทีม พิสูจน์ว่าแนวทาง ติกิ-ตาก้า ช่วยให้เกมบุกดูก้าวหน้า หลากหลายขึ้่น

ตรงส่วนโซนการจ่ายบอล ซาสซูโอโล่ มักออกบอลเพื่อทำเกมบุกไปทางซ้ายมากกว่า โดยทำไป 3,490 ครั้ง แต่ก็มีจุดหลักในการเริ่มต้นออกบอลจากแดนกลางของตัวเอง ซึ่งจ่ายบอลไปที่จุดนั้นถึง 3,812 ครั้ง

อีกทั้ง ซาสซูโอโล่ ในปีนั้นยังรั้งอันดับ 2 ของลีกในด้านการพาครองบอลขึ้นไปแดนคู่แข่ง (32,631) และการขึ้นเกมบุก (137) ขณะที่จังหวะโอเพ่นเพลย์ที่จ่ายบอลขึ้นเกมบุกเกิน 10 ครั้ง พวกเขาก็รั้งอันดับ 1 โดยทำไปถึง 676 ครั้ง

 

เน้นลากเลื้อยเข้าทำจากริมเส้น

Brighton news: Roberto De Zerbi style of play, tactics & potential line up

ซาสซูโอโล่ ถือเป็นทีมที่เน้นเกมรุกอยู่แล้ว แม้อาจไม่ได้ยิงกระจายก็ตาม โดยในฤดูกาล 2020-21 ทีมทำไป 64 ประตูในเซเรียอา โดยยิงเข้าเป้า 180 จากโอกาส 530 ครั้ง 

แต่สถิติด้านการเลี้ยงบอลของทีม ต้องบอกว่านำโด่งเหนือหลายๆทีมในลีก เพราะแค่ เจเรมี่ โบก้า อดีตลูกหม้อเชลซี ก็เลี้ยงไปคนเดียวแล้ว 153 ครั้ง มีเพียงนักเตะ 2 คนในลีกที่ทำได้มากกว่าเขา และเมื่อนับทั้งหมด ทีมทำได้ถึง 767 ครั้ง

การมีผู้เล่นที่เน้นการลากเลื้อย ก็แสดงให้เห็นว่า เด แซร์บี้ มักให้ลูกทีมเข้าทำเกมบุกจากริมเส้นทั้ง 2 ข้างบ่อยๆ โดยขึ้นเกมจากฝั่งซ้ายถึง 38% ขณะที่ฝ่ายขวา 32% แต่การบุกตรงกลางก็ยังมีเห็นเช่่นกันกับ 30%

มากกว่าไปนั้น หากใครได้เห็นวิธีการเข้าทำเกมบุกในทีมของกุนซือชาวอิตาเลี่ยน ก็ยิ่งชัดเจนว่าเขาเน้นการจ่ายบอลสั้นเป็นหลัก ทั้งจากพื้นที่แคบๆ หรือพื้นที่กว้างๆ เพิ่มเติมด้วยการหาโอกาสยิงไกลในบางจังหวะ หรือการจ่ายบอลตัดเข้ามาในกรอบเขตโทษ

 

เป้าหมายแรกในแดนผู้ดี

Roberto De Zerbi spells out his Brighton vision | The Argus

หลังจากได้เห็นแนวทางและวิธีการเล่นของ ซาสซูโอโล้ ในมือของ เด แซร์บี้ หลายคนน่าจะพอเห็นภาพว่า ไบรท์ตัน ที่เปลี่ยนมือจาก พ็อตเตอร์ มาอยู่ในการดูแลของเขาจะมีแนวทางการเล่นที่เปลี่ยนไปอย่างไร

กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ได้เปิดปากถึงช่วงที่เปิดตัวเป็นกุนซือใหม่ของ ‘นกนางนวล’ ว่างานนี้ดูง่ายในการเริ่มต้นมากขึ้น เนื่องจากมรดกและพื้นฐานที่ พ็อตเตอร์ ได้วางรากไว้ก่อนย้ายไปคุมเชลซี อีกทั้งก็มั่นใจว่านักเตะใน เอแม็กซ์ สเตเดี้ยม ที่สไตล์การเล่นที่เหมาะกับการสร้างทีมในแบบของเขา

“มันง่ายที่จะเริ่มทำงานกับไบรตัน มันง่ายเพราะสิ่งที่ พ็อตเตอร์ ทำไว้ มีผู้เล่นหลายคนที่ใกล้เคียงกับความคิดของผมเกี่ยวกับฟุตบอล พวกเขามีลักษณะทางจิตใจคล้ายกับสิ่งที่ผมต้องการ พวกเขามีความปรารถนาที่จะเล่นฟุตบอลของผมและกล้าหาญอย่างที่ผมต้องการ” กุนซือใหม่ ไบรท์ตัน กล่าว

“อายุของนักเตะใกล้เคียงกันจริงๆ (กับที่เขามีใน ซัสซูโอโล่) ความคิดของสโมสรและเจ้าของทีมก็คล้ายกันมาก ทัศนคติของนักเตะมีความคล้ายคลึงกัน พรีเมียร์ลีกและเซเรียอาเป็ 2 ลีกที่ต่างกัน แต่กับสโมสรพวกเขาเหมือนกัน”

ถึงรู้ว่ามีอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกับที่เขาเจอในซาสซูโอโล่ แต่กุนซือวัย 43 ปี ก็รู้ตัวดีว่าต้องใช้เวลา แต่ก็ไม่ได้หวาดหวั่นแต่อย่างใด เพราะเขามองว่าทีมยังพัฒนาไปได้ไกลว่านี้เช่นกัน

“ทีมรู้ดีว่าพวกเขาต้องทำอะไรในสนาม พวกเขามีสไตล์ที่ชัดเจน และผมเชื่อว่าไม่มีความสมบูรณ์แบบอยู่หรอก มีบางสิ่งที่ต้องปรับปรุงอยู่เสมอ” กุนซือเลือดเลี่ยน กล่าวต่อ

“”ในความเห็นของผม (ความคิดของผม) คือการปรับปรุงผลงานจากปีที่แล้วและอยู่ในสิบอันดับแรกของตาราง”

10 อันดับแรกอาจเป็นการตั้งเป้าที่เน้นปลอดภัยเกินไปในสายตาหลายๆคน หากดูจากผลงานของ ไบรท์ตัน ในตอนนี้ แต่การตั้งเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคงเป็นสิ่งที่ เด แซร์บี้ ต้องการทำให้ได้มากกว่าเพื่อสร้างแนวทางที่เขาต้องการในทีม

แต่จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ หลังพักเบรกทีมชาติเสร็จสิ้นในเดือนกันยายนคงได้เห็นภาพนี้ชัดเจนมากขึ้นแน่นอน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

รอดไม่รอด? : ร็อดเจอร์สกับช่วงเวลาสุดกดดันในรั้วจิ้งจอก
รอดไม่รอด? : ร็อดเจอร์สกับช่วงเวลาสุดกดดันในรั้วจิ้งจอก