ยังไม่ตกยุค : มูรินโญ่กุนซือผู้พาโรม่าคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรก

ยังไม่ตกยุค : มูรินโญ่กุนซือผู้พาโรม่าคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรก

แม้มีหลายคนมองว่า โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นผู้จัดการทีมที่ตกยุคไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คือกุนซือผู้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่กับ โรม่า ด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกของสโมสรกับ ถ้วย ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก 

นี่ถือเป็นถ้วยยุโรประดับ 3 ที่จัดการแข่งขันโดย สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ซึ่งชัยชนะของ ‘จัลโลรอสซี่’ เหนือ เฟเยนูร์ด จากประตูโทนของ นิโคโล่ ซานิโอโล่ ทำให้ทีมจากอิตาลีกลายเป็นสโมสรแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้ด้วย

อีกทั้งยังทำให้ ‘เดอะ สเปเชียล วัน’ กลายเป็นกุนซือคนแรกที่คว้าแชมป์ยุโรปได้ทั้ง 3 รายการ ไล่ตั้งแต่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูโรป้าลีก (ยูฟ่า คัพ) และ คอนเฟอเรนซ์ลีก รวมถึงทำสถิติไม่เคยแพ้ใครด้วย ยามพาทีมเข้าไปเล่นนัดชิงในรายการระดับทวีป ตลอด 5 ครั้งในอาชีพกุนซือ

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ของ กุนซือชาวโปรตุกีส ต้องบอกว่าไม่ง่ายเช่นกัน หลังต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์มากมาย ทั้งแนวทางที่ดูล้าสมัยหรือตกยุค ตามฟุตบอลยุคใหม่ไม่ทัน จนหลายคนไม่คิดว่าจะได้เห็นชายคนนี้ชูถ้วยแชมป์รายการไหนอีกแล้วเหมือนกัน…

 

กุนซือตกยุค?

Special One' comment now ancient history, says Roma boss Mourinho ahead of  Conference League final | Goal.com

นี่คือแชมป์เมเจอร์รายการที่ 26 ของ มูรินโญ่ ซึ่งเป็นเวลานานกว่า 19 ปีแล้ว นับตั้งแต่แต่เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพา ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ ในปี 2003 ซึ่งถือเป็นแชมป์ยุโรปสมัยแรกของเขาด้วย

เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือของ โรม่า ช่วงเดือนพฤษภาคมปีก่อน พร้อมด้วยภารกิจสร้างทีมขึ้นมาใหม่ หลังจากทีมทำผลงานได้น่าผิดหวังจนจบอันดับที่ 7 ในเซเรียอาฤดูกาล 2020-21 ในยุคที่ เปาโล ฟอนเซก้า กุมบังเหียน

ในตอนนั้นไม่มีใครปฏิเสธถึงความยอดเยี่ยมที่ กุนซือชาวโปรตุกีส เคยจากรึกไว้ในวงการลูกหนัง ทั้งกับ ปอร์โต้, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด หรือแม้แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ทว่านับตั้งแต่พา ‘ปีศาจแดง’ คว้าแชมป์ ยูโรป้า ลีก ปี 2017 น้ามู ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในแง่ของถ้วยรางวัลอีกเลย ที่หนักไปกว่านั้นคือมีปัญหากับสโมสรที่เขาทำหน้าที่จนโดนปลดใน 2 ทีมหลังสุด ทั้งกับ ยูไนเต็ด รวมไปถึง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่คุมได้ปีเศษๆเท่านั้น

รวมไปถึงสไตล์การเล่นที่เน้นผลการแข่งขัน เอาชัวร์ไว้ก่อน ก็ทำให้ชื่อเสียงของ กุนซือแดนฝอยทอง ติดลบหนักเช่นกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เขาไม่มีแชมป์ติดมือ แต่ทีมที่เล่นบอลได้ สวยงาม สนุก และ เร้าใจสามารถคว้าแชมป์ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์

 

นัดชิงสไตล์น้ามู

Emotional Jose Mourinho praises Roma after historic triumph in Conference  League final | The Japan Times

แม้ช่วงแรก โรม่า จะทำอันดับเกาะติดท็อปโฟร์ได้อย่่างเหนียวแน่น แต่เมื่อเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน ผลงานของทีมก็เริ่มแกว่งจนหลุด 4 อันดับแรกไปแบบยาวๆ และยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ โอกาสคว้าตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ลีกก็ยิ่งห่างไกลจากพวกเขาไปเรื่อยๆ และเกือบพลาดโควต้าไปเล่นยุโรปซีซั่นหน้า แต่ก็ฮึดในช่วงท้ายฤดูกาลจนคว้าอันดับ 6 มาครอง

อย่างไรก็ตาม เส้นทางในรายการยุโรปอย่าง คอนเฟอเรนซ์ลีก ก็ดูดีกว่าผลงานใน เซเรียอา ชัดเจน เมื่อ มูรินโญ่ พา ‘หมาป่ากรุงโรม’ ฝ่าด่านมาตั้งแต่รอบเพลย์ออฟ, รอบแบ่งกลุ่ม และลากยาวไปจนถึงรอบน็อคเอ้าท์ 

แม้เสียเชิงพอสมควร เมื่อพ่ายให้กับทีมที่เพิ่งได้เล่นรายการยุโรปแบบจริงจังเป็นครั้งแรกในปีนี้อย่าง โบโด กลิมท์ ซึ่งถือเป็นทีมเดียวที่ โรม่า พ่ายให้ในรายการนี้ ทั้งในรอบแบ่งกลุ่มด้วยสกอร์ยับเยิน 6-1 รวมไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เอาชนะไปก่อนใน เลกแรก 2-1 แต่สุดท้ายทีมของน้ามู ก็ล้างแค้นสโมสรจากนอร์เวย์ได้ทีเดียวในเลกสอง เอาชนะไป 4-0 ผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-2

เมื่อผ่านเข้ามาเล่นรอบชิงชนะเลิศได้ งจัลโลรอสซี่ง ที่มีรูปเกมเป็นรอง เฟเยนูร์ด อยู่หลายๆจังหวะ แต่กลับได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก นิโคโล่ ซานิโอโล่ ก่อนปิดจ็อบคว้าแชมป์ไปครองได้ตามเป้า

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจอะไร หากย้อนไปดูนัดชิงในฟุตบอลยุโรปที่ มูรินโญ่ พาทีมผ่านเข้ามาได้ในช่วง 3 ครั้งหลังสุด นี่เน้นชัวร์ เน้นแน่น ไม่หวือหวาแต่มั่นใจได้เมื่อจบ 90 นาทีชูถ้วยแน่นอน

ทั้งปี 2004 ที่ปอร์โต้ ชนะ โมนาโก 3-0, ปี 2010 อินเตอร์ มิลาน ชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-0 และ ปี 2017 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ อาแจ็กซ์ 2-0 มีแค่ปีที่คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2003 ที่ปอร์โต้ ต้องเล่นนานกว่า 120 นาที ถึงเอาชนะ กลาสโกว์ เซลติก 3-2

และในปีนี้ก็ทรงเดิม ไม่ว่าจะเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่น้อยกว่าฝั่งตรงข้ามเสมอในรอบชิงชนะเลิศ หรือโอกาสยิงรวมที่น้อยกว่าทุกรอบแต่เป็นฝ่ายที่จบสกอร์ได้ ทำให้ยอดกุนซือชาวโปรตุกีสวัย 59 ปี ยังมีสถิติสุดยอด คว้าชัยชนะ 100% ในเกมรอบชิงฯ ถ้วยยุโรปแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

 

น้ำตา ‘เดอะ สเปเชียล วัน’

Conference League final: Emotional José Mourinho completes set of European  honours with Roma triumph | Sport | The Times

ถ้วยคอนเฟอเรนซ์ลีก ถือเป็นแชมป์แรกของ โรม่า ในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่คว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย ในฤดูกาล 2007-08 และในขณะเดียวกันก็เป็นแชมป์แรกของ มูรินโญ่ ในรอบ 5 ปี

แน่นอนว่า ดีกรีแชมป์ยุโรปถ้วยลำดับ 3 คงไม่ได้มีความสำคัญหรือยิ่งใหญ่เทียบเท่าถ้วยบิ๊กเอียร์ที่เขาเคยทำได้กับ ปอร์โต้ ในปี 2004 หรือ อินเตอร์ มิลาน ในปี 2010 แต่แชมป์นี้กลับมีคุณค่าทางใจต่อ เดอะ สเปเชียล วัน อย่างมาก ซึ่งน้ำตาของเขาหลังสิ้นเสียงนกหวีดในสนาม แอร์ แอลเบเนีย สเตเดี้ยม  บ่งบอกเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

“มีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในหัวของผม มากมายจริงๆ ผมอยู่กับ โรม่า มา 11 เดือนผมรู้ทันทีที่มาถึงว่าพวกเขาทุกคนกำลังรอสิ่งนี้อยู่ อย่างที่ผมเคยบอกเด็กๆไปในห้องแต่งตัวที่ตูรินว่าเราต้องทำให้ได้ เราต้องผ่านไปเล่นใน ยูโรปา ลีก และเราก็ทำงานกันได้ดีตลอดทั้งฤดูกาล” กุนซือชาวโปรตุกีส กล่าวกับ Sky Sports หลังเกม

“ค่ำคืนนี้มันไม่ใช่การทำงานแล้ว มันคือการสร้างประวัติศาสตร์ เราเขียนประวัติศาสตร์ เราทำได้ สิ่งที่ยอดเยี่ยมในอาชีพของผมก็คือ ยูโรป้า ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ชัยชนะกับ ปอร์โต้, อินเตอร์ และค่ำคืนนี้กับโรม่ามันพิเศษ พิเศษมากๆ มันคือสิ่งหนึ่งที่ทุกคนคาดหวัง”

นอกจากเป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ยุโรปได้ครบทั้ง 3 รายการแล้ว น้ามู ยังกลายเป็นกุนซือคนที่ 2 ที่คว้าแชมป์ยุโรปรวมกันได้ 5 สมัย (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, ยูฟ่า คัพ 2 สมัย และ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก 1 สมัย) ต่อจาก โจวานนี่ ตราปัตโตนี ตำนานสุดยอดโค้ชชาวอิตาเลียน ด้วย (คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย, ยูฟ่า คัพ 3 สมัย และ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย)

ความสำเร็จนี้ช่วยกอบกู้ชื่อของ กุนซือแดนฝอยทอง ได้พอสมควร หลังเคยโดนหยันว่าหมดยุคทั้งช่วงที่คุม ยูไนเต็ด หรือ สเปอร์ส และเจ้าตัวก็ยืนยันพร้อมปักหลักสร้างตำนานบทใหม่กับ โรม่า ต่อไปเช่นกัน

“ผมจะบอกปัดทุกข้อเสนอที่เข้ามา ผมจะอยู่โรม่าต่อแม้มันมีข่าวลือบางอย่างออกมา ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าผมจะเดินหน้าต่อในฐานะผู้จัดการทีมโรม่า”

นี่ถือเป็นปีแรกที่ยอดเยี่ยม สำหรับ มูรินโญ่ ในกรุงโรม และดูเหมือนว่าแพชชั่นของเขาจะกลับมาหลังความสำเร็จครั้งนี้ ซึ่งเป็นตอกย้ำว่าต่อให้ฟุตบอลของเขาจะดูน่าเบื่อ ไม่น่าตื่นเต้นเช่น เป๊ป หรือ คล็อปป์ แต่ก็สามารถสยบเสียงวิจารณ์เหล่านั้นได้ด้วยการเป็นแชมป์เช่นกัน

สมกับฉายา ‘เดอะ สเปเชียล วัน’ หนึ่งเดียวคนนี้ไม่มีผิดเพี้ยน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

กระทบทีมชาติ : เมื่อแนวรุกผู้ดียิงประตูน้อยลงในพรีเมียร์ลีก
กระทบทีมชาติ : เมื่อแนวรุกผู้ดียิงประตูน้อยลงในพรีเมียร์ลีก