สิงโตอกหัก :ฝันร้ายที่ยังตามหลอนกับถ้วยแชมป์ที่ไม่ได้กลับบ้าน

 

ท้ายที่สุด ฟุตบอลก็ยังไม่ได้กลับบ้าน และเป็นค่ำคืนที่ขมขื่นอีกครั้ง สำหรับแฟนบอล “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ ที่ต้องมาอกหักในเกมนัดชิงแชมป์ ยูโร 2020 ด้วยการเล่นท่ามกลางแฟนบอลของตัวเองเกือบเต็มความจุสนาม เวมบลีย์ 

 

เกมชิงดำกับ อิตาลี ทัพ “สิงโตคำราม”ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ปรับแผนอีกครั้ง จาก 4-3-3  มาในระบบ 3-4-2-1  เรียกว่าพยายามจะเล่นอย่างรัดกุมที่สุด และเขามันจะใช้แท็กติกนี้เมื่อเจอคู่ต่อสู่ที่ดูเป็นต่อ อย่างเช่นเกมกับ เยอรมนี และครั้งนี้ก็เหมือนจะได้ผลอีกครั้งเมื่อเปิดฉากอย่างเร้าใจด้วยการขึ้นนำอย่างรวดเร็วจาก ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายฟอร์มเด่นแห่งทัวร์นาเมนต์ ทำให้ตอนนั้นทุกอย่างดูเหมือนจะดูดีไปซะหมด 

 

แต่กลายเป็นว่าการขึ้นนำเร็ว นั้นทำพิษ และสร้างความสับสนให้ เซาธ์เกต อีกครั้ง …

 

 

 

รูปเกมหลังได้ประตูพวกเขาเล่นอย่างฮึกเหิม สู้กับ อิตาลี ได้แบบไม่เป็นรองแม้แต่นิด ทุกอย่างเต็มไปด้วยความมั่นใจสุดๆ  แต่จากนั้นไม่รู้ กุนซือมาดเนี้ยบ ไม่รู้มีมายด์เซตคิดอะไรในหัว เพราะตัดสินใจปรับเกม ด้วยการให้นักเตะลงไปเล่นตั้งรับแบบเต็มตัวซะอย่างงั้น  ซึ่งแท็กติกตั้งรับที่ว่าเพิ่งทำมาในเกมที่ ต่อเวลาเอาชนะ เดนมาร์ก ซึ่งพวกเขาใช้มันในช่วงต่อเวลาพิเศษเพื่อปิดเกม 

 

แต่กับแมตช์นี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรกด้วยซ้ำ ! 

 

แน่นอนเมื่อ อังกฤษ อยู่ดีๆใจป๊อด ทุกอย่างก็เข้าล็อค อิตาลี ทันที ขุนพล อัซซูรี่ ไม่รอช้า ขึงเกม ครองบอลแทบจะอยู่หมัด ถึงขนาดที่ว่า เซ็นเตอร์แบ็กอย่าง จอร์โจ คิเอลลินี่ และ เลโอนาร์โด โบนุชชี่ นั้นเติมเกมขึ้นมาเกือบกลางสนาม และสุดท้ายประตูตีเสมอก็เกิดขึ้นจนได้ในช่วงครึ่งหลังจาก โบนุชชี่  

 

จากนั้นโมเมมตัมทุกอย่างก็กลายเป็นของทัพ อัซซูรี่ ไปหมดแล้ว   

 

ที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนตัวนักเตะ ทั้งที่มีตัวเลือกในเกมรุกให้เลือกใช้มากมาย แต่ เซาธ์เกต ที่คิดช้าเป็นตัวสล็อต คิดแล้วคิดอีก อย่างที่แย่เลยคือส่ง แจ็ค กรีลิช ที่เล่นได้น่าประทับใจทุกครั้งที่ลงสนาม ลงมาเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งใกล้จะจบเกมเต็มทนแล้ว ที่สำคัญคือเพิ่งจะเปิดเกมรุกแลกอิตาลี ซึ่งถึงตอนนั้นมันไม่ทันการณ์แล้ว 

 

และกับการเปลี่ยนตัว แรชฟอร์ด และ ซานโช่ ลงมานาที 119 ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ได้มีประโยนช์อะไรแม้แต่นิดนอกจากเอาลงมาเพื่อยิงจุดโทษโดยเฉพาะ 

 

 

พูดถึงการยิงจุดโทษ หากไม่นับการแม่นโทษ ที่เอาชนะ สวิสเซอร์แลนด์ 6-5 ในเกม เนชั่นส์ ลีก อังกฤษ แทบไม่เคยประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ใหญ่เลย ทั้งในฟุตบอลโลก และในศึก ยูโร เลย และมีสถิติแสนบู่ ที่ พ่าย 7 จาก 9 ครั้ง เมื่อถึงเวลาวัดใจ

 

ปี 1990 บอลโลก รอบรองฯ แพ้ เยอรมันตะวันตก 4-5

 

ปี 1996 ยูโร รอบ 8 ทีม ชนะ สเปน 4-2

 

ปี 1996 ยูโร รอบรองฯ แพ้ เยอรมนี 6-7

 

ปี 1998 บอลโลก รอบ 2 แพ้ อาร์เจนติน่า 5-6

 

ปี 2004 ยูโร รอบ 8 แพ้ โปรตุเกส 7-8

 

ปี 2006 บอลโลก รอบ 8 แพ้ โปรตุเกส 1-3

 

ปี 2012 ยูโร แพ้ อิตาลี 2-4

 

ปี 2018 บอลโลก รอบ 2 ชนะ โคลอมเบีย 5-4

 

และกับเกมนี้ที่ต้องดวลจุดโทษ อิตาลี  ต้องบอกว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง เนื่องจาก จอร์แดน พิคฟอร์ด จอมหนึบผมทรงที่เต๋าสมชาย นั้นเซฟจุดโทษของ อันเดร เบล็อตติ ที่ยิงเป็นคนที่สองได้ก่อน เรียกว่าตอนนั้นความมั่นใจกลับมาเกินร้อยอีกครั้ง  

 

 แต่กลายเป็นว่า 2 แข้งที่  เซาธ์เกต ส่งลงมาเพื่อยิงจุดโทษโดยเฉพาะอย่าง แรชฟอร์ด และ ซานโช่ กลับยิงไม่เข้าทั้งคู่  แม้ช่วงไคล์แม็กซ์ จอร์จินโญ่ มือแม่นโทษของอิตาลี ที่สังหารเป็นคนสุดท้ายจะโดน นายทวารเอฟเวอร์ตันเซฟไว้ได้ พร้อมต่อลมหายใจอีกครั้ง แต่สุดท้าย บูกาโย่ ซาก้า ที่รับหน้าที่คนท้ายสุดของอังกฤษ ก็ยิงไปติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า เช่นกัน 

 

 

 

ไม่ต้องไปโทษคนยิงจุดโทษให้เสียเวลา เพราะทั้ง 5 คนนั้นคือแข้งที่ เซาธ์เกต นั้นเลือกเองกับมือ โอเคหละ ตามสถิติแข้งอย่าง ซานโช่ หรือ แรชฟอร์ด อาจจะทำหน้าที่มือปืนได้ดีในการเล่นให้กับสโมสร หรือในสนามซ้อม แต่ตามหน้าเสื่อแล้ว ทั้งคู่นั้นอยู่ในสนามไม่ถึง 5 นาทีเต็มด้วยซ้ำ

 

 

ส่วน ซาก้า ในวัยเพียง 19 ปี นี่น่าเห็นใจสุดๆ เพราะยิงเป็นคนสุดท้าย และแบกความหวังทุกสิ่งอย่างเอาไว้ จนสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น และทำให้ อิตาลี คว้าแชมป์ยูโร 2020 สมัยที่สองไปครอง หรือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968  หรือ 53 ปีที่แล้ว 

 

มองจากผลงานตั้งแต่เกมแรก จนถึงนัดชิงชนะเลิศ ขุนพลแข้ง “อัซซูรี่” ชุดนี้สมควรและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงที่จะคว้าแชมป์ ไม่ว่าจะรูปแบบการเล่น ผลงานในสนาม ทุกอย่างพวกเขานั้นทำได้แบบไร้ที่ติ และต้องขอปรบมือดังๆให้   โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือของทีมจริงๆ  

 

 

ส่วนอังกฤษ ฝันร้ายครั้งนี้คงจะตามติดตัว นักเตะหลายคนในทีม รวมไปถึง เซาธ์เกต ที่เคยผิดหวังในการดวลจุดโทษกับอังกฤษมาแล้ว ในยูโร96 และครั้งนี้มันก็ยังไม่จางหายไป 

 

ไม่รู้จากนี้ทัพ “สิงโตคำราม” จะมีโอกาสก้าวมาถึงจุดนี้อีกครั้งหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ฟุตบอลโลก 2022 ที่จะหวดกันที่ประเทศ กาตาร์ ในช่วงปลายปีหน้า พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ และจดจำบทเรียนในวันนี้เก็บไปแก้ไขปรับปรุงให้มากที่สุด 

 

 

เพราะหากไม่เป็นอย่างนั้น ฝันร้ายเช่นนี้ก็คงตามหลอกหลอนตลอดไป 

 

                                                    DaboyG

 

  

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : พร้อมไปต่อ! เซาธ์เกตยังหวังคุมสิงโตคำรามลุยบอลโลก 2022