ตำนานตลอดกาล! ย้อนรอย 10 สุดยอดโมเมนต์เมสซี่ในสีเสื้ออาซูลกราน่า

แฟนบอล บาร์เซโลน่า เพิ่งพบกับข่าวร้ายและยากที่จะทำใจได้ หลังสโมสรออกมายืนยันว่า ลิโอเนล เมสซี่ จะไม่ได้รับการต่อสัญญาใหม่และอำลาถิ่น คัมป์ นู อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ปิดฉากช่วงเวลการค้าแข้งยังแคว้นคาตาลัน ซึ่งยาวนานกว่า 21 ปี นับตั้งแต่เจ้าตัวเข้ามาเป็นแข้งเยาวชนของทีมเมื่อปี 2000

หลังถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2004 ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ โชว์ผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่อง ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดนักเตะของโลกจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับฝากความสำเร็จและความทรงจำมากมายไว้ตลอดเส้นทางอาชีพการค้าแข้ง รวมถึงช่วงเวลาที่เขาอยู่กับ “ต่างดาว”

โดยวันนี้ UFAARENA จะขอพาไปย้อนดู 10 โมเมนต์ในความทรงจำของ เมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า เพื่อเป็นการอำลาแข้งตำนานเบอร์ 10 “อาซูลกราน่า” ครั้งสุดท้าย

 

ปีเดียวยิง 91 ประตู

นับเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของ ลิโอเนล เมสซี่ เลยก็ว่าได้ กับการระเบิดฟอร์มเก่งยิง 91 ประตู ในหนึ่งรอบปีปฏิทินระหว่างปี 2012-2013 พร้อมกับทำอีก 29 แอสซิสต์ ให้กับทั้ง บาร์เซโลน่า และทีมชาติอาร์เจนตินา

โดยสุดยอดแข้งชาวอาร์เจนไตน์ มีค่าเฉลี่ยยิง 1 ประตู ทุก 66 นาที ตลอด 69 เกม ทำลายสถิติเดิมอันยาวนานกว่า 41 ปี ซึ่ง แกร์ด มุลเลอร์ เคยทำไว้ ด้วยการยิง 72 ประตู ภายในระยะหนึ่งรอบปีปฏิทิน เมื่อปี 1972

ประตูที่ เมสซี่ ยิงได้เกิดขึ้นในเกม ลาลีกา สเปน 59 ประตู จากการลงเล่น 38 นัด, 13 ประตู จากการลงเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 12 นัด, 5 ประตู จากการลงเล่น โกปา เดล เรย์ 8 นัด, 2 ประตู จากการลงเล่น ซูเปร์โกปา เด เอสปัญญา และอีก 19 ประตู มาจากการลงเล่นกับทีมชาติอาร์เจนตินา 9 นัด

ความสำเร็จดังกล่าวของดาวเตะเบอร์ 10 ถูกฉลองอย่างยิ่งใหญ่พร้อมกับการคว้าต่ำแหน่งบัลลงดอร์ สมัยที่ 4 ด้วยการเอาชนะคู่แข่งสำคัญอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ อันเดรส อิเนียสต้า เมื่อเดือนมกราคม ปี 2013

 

พาสโมสรชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ฟุตบอลยุโรป ปี 2011

นับเป็นเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่มีแฟนบอลรอคอยมากสุดแห่งศตวรรษเลยก็ว่าได้ ซึ่งลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องโคจรมาพบกับอีกหนึ่งสโมสรที่กำลังฟอร์มร้อนแรงเวลานั้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่สนาม เวมบลีย์ สเตเดี้ยม

นี่ถือเป็นการพบกันเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรป เป็นหนที่สองในรอบ 3 ปี หลังย้อนไปเมื่อปี 2009 “ต่างดาว” เพิ่งเอาชนะ “ปีศาจแดง” 2-0 ก่อนคราวนี้สามารถย้ำแค้นได้อีกครั้งด้วยการคว้าชัยชนะเหนือยอดทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ด้วยสกอร์ 3-1

นัดดังกล่าว เมสซี่ ทำลายความฝันของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สำหรับการคว้าถ้วย “บิ๊กเอียร์” สมัยที่ 4 ด้วยการโชว์ฟอร์มสุดยอดพร้อมกับยิงหนึ่งประตู พา “อาซูลกราน่า” คว้าแชมป์ยุโรป สมัยที่ 4 ในประวัติศาสตร์

ส่วนอีกหนึ่งไฮไลค์จากแมตช์นั่น คือการยิงประตูสุดสวยของ เมสซี่ ด้วยการซัดไกล 30 หลา บอลพุ่งผ่านมือสุดยอดนายทวารชาวดัตช์ อย่าง เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เข้าไปตุงตาข่าย ก่อนท้ายที่สุดเจ้าตัวสามารถคว้าดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ ด้วยการยิงไปถึง 12 ประตู

 

คว้ารางวัลบัลลงดอร์ 6 สมัย

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 สุดยอดนักเตะซึ่งเติบโตมาจากศูนย์ฝึกฟุตบอล ลา มาเซีย สร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้ารางวัลบัลลงดอร์ สมัยที่ 6 หลังเบียดเอาชนะคู่ปรับสำคัญอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

เมสซี่ คว้ารางวัลดังกล่าวหลังทำผลงานยอดเยี่ยมกับยอดทีมแห่งแคว้นคาตาลัน ตลอดซีซั่น 2018/2019 ด้วยการพาสโมสรซิวแชมป์ ลาลีกา สเปน พร้อมกับครองตำแหน่งดาวซัลโว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังซัดไป 12 ประตู จากการลงสนาม 10 นัด

ด้วยฟอร์มสุดร้อนแรงลงสนาม 44 นัดรวมทุกรายการ ยิง 41 ประตู พร้อมกับทำอีก 15 แอสซิสต์ ส่งผลให้ ลิโอเนล เมสซี่ กลายเป็นนักเตะฟุตบอลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ผงาดคว้ารางวัลบัลลงดอร์ 6 สมัย และเป็นสิ่งเดียวซึ่งคู่ปรับอย่าง โรนัลโด้ ยังไม่สามารถทำได้จนถึงตอนนี้

โดยตลอดระยะเวลาที่แข้ง “ฟ้าขาว” ถูกดันขึ้นมาเล่นให้กับชุดใหญ่ของ บาร์เซโลน่า เมื่อปี 2004 เจ้าตัวสามารถคว้ารางวัลบัลลงดอร์ ทั้งหมด 6 สมัย ได้แก่ปี 2009, 2010, 2011, 2012, 2015 และ 2019

 

ยิงประตูมหัศจรรย์พาทีมเอาชนะ เรอัล มาดริด ทะลุชิงถ้วยยุโรป

อีกหนึ่งโมเมนต์อันยอดเยี่ยมกับความมหัศจรรย์ของ เมสซี่ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนบอล นั่นคือจังหวะเจ้าตัวพาบอลแหวกแนวรับ เรอัล มาดริด ก่อนซัดประตูสุดสวยซึ่งมีส่วนช่วยพา บาร์เซโลน่า เข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 2010/2011

ประตูดังกล่าวเกิดขึ้นเกมฟุตบอลยุโรป ถ้วยใหญ่ รอบรองชนะเลิศ เลกแรก ซึ่ง บาร์เซโลน่า ต้องบุกไปเยือน เรอัล มาดริด ที่สนาม ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ในนาทีที่ 86 จากจังหวะที่ เมสซี่ ตัดสินใจลากบอลจากกลางสนามแหวกแนวรับเจ้าบ้านถึง 4 คน ก่อนส่งบอลผ่านมือ อิเกร์ กาซิยาส เข้าไปตุงตาข่ายแบบเหนือชั้น ช่วยให้ “ต่างดาว” ทิ้งห่าง 2-0 และเป็นลูกที่สองของแข้งทีมชาติอาร์เจนตินา แมตช์นั้น

หลังจบการแข่งขัน เมสซี่ ได้รับการยกย่องอย่างมากจากจังหวะยิงสุดสวยในเกมกับ “ราชันชุดขาว” นอกจากนั้นลูกยิงดังกล่าวยังถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในจังหวะการยิงประตูที่สวยงามที่สุดตลอดการของศึกฟุตบอลยุโรป อีกด้วย

 

เหมา 4 ประตู เกมพบ อาร์เซน่อล

สุดยอดแข้งบัลลงดอร์ 6 สมัย ได้รับคะแนนความสามารถเต็ม 10 จากการประเมินของสื่อฟุตบอลฝรั่งเศส อย่าง L’Equipe หลังเขาระเบิดฟอร์มสุดยอดในเกมพบกับ อาร์เซน่อล เมื่อ 10 ปีก่อน

ย้อนกลับซีซั่น 2009/2010 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ เลกสอง ซึ่ง บาร์เซโลน่า ต้องเปิดบ้านพบกับ อาร์เซน่อล หลังแมตช์แรกทั้งสองทีมเสมอกันมา 2-2

นัดดังกล่าว เมสซี่ โชว์ฟอร์มสุดโหดด้วยการเหมายิงคนเดียว 4 ประตู พาทีมเอาชนะ “เดอะ กันเนอร์ส” ขาดลอย 4-1 หลังถูกออกนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 18 จากประตูของ นิคลาส เบนด์เนอร์

หลังจบเกมทางฝั่งกุนซือชาวฝรั่งเศส ของ “ปืนใหญ่” อย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ได้ออกมายกย่อง เมสซี่ คือผู้เล่นที่สร้างความแตกต่างในเกมนัดนั่น พร้อมแสดงความมั่นใจว่าแข้งเบอร์ 10 “ต่างดาว” จะก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดผู้เล่นของโลกคนต่อไป

 

ยิงประตูแรกในสีเสื้อ บาร์เซโลน่า

นับตั้งแต่ลงสนามเกมแรกกับ บาร์เซโลน่า เมื่อปี 2004 จนถึงปัจจุบันแข้งวัย 34 ปี ยิงให้สโมสรไปแล้ว 672 นัดรวมทุกรายการ แต่คงไม่มีลูกไหนที่เจ้าตัวประทับใจเท่ากับประตูแรกที่เขาทำได้กับ “ต่างดาว” ในเดือนพฤษภาคม ปี 2005

ประตูแรกของ เมสซี่ เกิดขึ้นในเกม ลาลีกา สเปน ซีซั่น 2004/2005 แมตช์พบ อัลบาเซเต้ ช่วงท้ายฤดูกาล ซึ่งนัดดังกล่าวเจ้าตัวถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรองพร้อมเสื้อหมายเลข 30

วันเดอร์คิดชาวอาร์เจนไตน์ ณ เวลานั้น ใช้เวลาไม่นานก็เริ่มฉายแววความเก่งกาจ จากจังหวะที่รุ่นพี่อย่าง โรนัลดินโญ่ ยกบอลข้ามแผงแนวรับคู่แข่งมาให้เขา ก่อนเจ้าหนูวัยแค่เพียง 17 ปี โชว์ความเหนือชั้นด้วยการยกบอลข้ามหัวผู้รักษา แต่โชคไม่ดีที่ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น โอกาสของ เมสซี่ เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ โรนัลดินโญ่ ยกบอลข้ามแนวรับ อัลบาเซเต้ เหมือนครั้งแรกมาถึงเขา ก่อนที่เจ้าหนูชาวอาร์เจนตินา ตัดสินใจยกบอลข้ามหัวนายด่านคู่แข่งเข้าประตูไปแบบสุดมหัศจรรย์

นั่นคือประตูแรกอย่างเป็นทางการของ เมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นเป็นสุดยอดผู้เล่นของสโมสร สานต่อความยิ่งใหญ่และเบอร์ 10 ต่อจากนักเตะอย่าง โรนัลดินโญ่ ในถิ่น คัมป์ นู มาจนถึงปัจจุบัน

 

ลากบอลโซโล่เดียวยิงประตู เกตาเฟ่

ยังคงเป็นถกเถียงกันว่านี่คือลูกยิงสวยที่สุดของ ลิโอเนล เมสซี่ หรือไม่ แต่แน่นอนว่ามันเป็นจังหวะการทำประตูยอดเยี่ยมสุดเท่าที่เคยเห็นมาวงการฟุตบอลลีกสเปน เลยก็ว่าได้

สุดยอดแข้งเจ้าของเบอร์ 10 “ต่างดาว” ใช้ทักษะอันยอดเยี่ยมและเทคนิคการเลี้ยงสุดแพรวพราว พาบอลแหวกแนวรับ เกตาเฟ่ ถึง 4 คน ก่อนหลุดเดียวเข้ากรอบเขตโทษพร้อมล็อคบอลหลอกผู้รักษาประตูอีกหนึ่งจังหวะ และส่งบอลเข้าสู้ก้นตาข่ายแบบเหนือชั้น

โดยประตูดังกล่าวของ เมสซี่ ถูกนำไปเปรียบเทียบกับจังหวะการยิงมหัศจรรย์ของรุ่นพี่ทีมชาติอาร์เจนตินา อย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า ในเกมที่พบกับ อังกฤษ ศึกฟุตบอลโลก เมื่อปี 1986

นอกจากนั้นเมื่อปีที่ผ่านมา ประตูนี้ยังถูกแฟนบอล บาร์เซโลน่า ลงคะแนนโหวตเลือกให้เป็น 1 ใน 3 ลูกยิงสุดสวยตลอดกาลของ เมสซี่ ร่วมกับประตูที่ทำได้ในเกมกับ แอธเลติก บิลเบา และ เรอัล มาดริด

 

ทำลายสถิติยิงประตูมากสุดตลอดกาลของ เปเล่

หลังผงาดครองตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดการของ บาร์เซโลน่า และ ลาลีกา สเปน ได้สำเร็จ สุดยอดแข้งทีมชาติอาร์เจนตินา สร้างความยิ่งใหญ่ต่อเนื่องด้วยการทำลายสถิติยิงประตูให้กับสโมสรเดียวมากสุดตลอดกาลของ เปเล่ ตำนานดาวยิงชาวแซมบา

ประตูที่ 644 ของ เมสซี่ กับ “ต่างดาว” เกิดขึ้นเกมพบกับ เรอัล บายาโดลิด ในศึก ลาลีกา สเปน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 ซึ่งนั่นทำให้เขาทำลายสถิติเก่าของ เปเล่ ที่เคยทำไว้กับ ซานโตส ระหว่างปี 1956-1974 ทันที

ความสำเร็จดังกล่าวได้รับคำชื่นชมจากแฟนบอลทั่วโลก รวมถึงเจ้าของสถิติเดิมอย่าง เปเล่ ซึ่งร่วมแสดงความยินดีกับกัปตันทีมชาติอาร์เจนตินา ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สถิตินี้ของ เมสซี่ จบลงแค่เพียง 672 ประตู เท่านั้น หลังเจ้าตัวได้แยกทางกับยอดทีมแห่งเมืองบาร์เซโลน่า อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว

 

ทำแฮตทริกแรกในอาชีพการค้าแข้ง

สำหรับผู้เล่นทุกคนการทำแฮตทริกแรกถือเป็นเรื่องที่พิเศษ แต่สำหรับ เมสซี่ การทำแฮตทริกแรกของเขาคือสิ่งที่ถูกจารึกไว้เป็นตำนาน เนื่องจากมันเกิดขึ้นในเกม “เอล กลาซิโก้” เมื่อปี 2007

ย้อนกลับไปเกม ลาลีกา สเปน เมื่อฤดูกาล 2006/2007 บาร์เซโลน่า ต้องเปิดรัง คัมป์ นู รับการมาเยือนของคู่ปรับตลอดการอย่าง เรอัล มาดริด ซึ่งแมตช์นั่น “ราชันชุดขาว” เป็นฝ่ายออกนำถึง 3 ครั้ง จากการยิงของ รุด ฟาน นิสเตลรอย 2 ประตู และ เซร์คิโอ รามอส อีก 1 ประตู ทว่า เมสซี่ สามารถยิงคืนให้กับยอดทีมคาตาลัน  ได้ทุกครั้ง ก่อนจบ 90 นาที ทั้งสองทีมเสมอกัน 3-3

นั่นถือเป็นการทำแฮตทริกครั้งแรกในอาชีพการค้าแข้งของ เมสซี่ และยังทำให้เขาได้รับการยอมรับจากแฟนบอลมากขึ้น พร้อมพัฒนาจากนักเตะดาวรุ่งอายุน้อยขึ้นมาเป็นแข้งแนวรุกแถวหน้าของโลก ณ เวลานั้น

 

ยิงประตูชัยนาทีสุดท้ายเกม เอล กลาซิโก้

ปี 2017 เป็นอีกครั้งที่แฟนบอลได้เห็น ลิโอเนล เมสซี่ ทำผลงานยอดเยี่ยมในเกม “เอล กลาซิโก้” ซึ่ง บาร์เซโลน่า บุกชนะ เรอัล มาดริด ได้ถึงถิ่น ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว

เกมเมื่อซีซั่น 2016/2017 เป็นฝั่งเจ้าบ้าน “โลส บลังโกส” ทำผลงานได้ดีกว่า “ต่างดาว” และรักษาสกอร์นำ 3-2 จนถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งหลัง ทว่าสามแต้มของพวกเขากลับหลุดลอยไปแบบไม่น่าเชื่อ หลัง เมสซี่ ซัดประตูตีเสมอ 3-3 ในนาทีที่ 90+2 ของเกม พาต้นสังกัดบุกแบ่ง 1 คะแนน จากลูกทีมของ ซีนาดีน ซีดาน ได้สำเร็จ

นอกจากนั้นประตูดังกล่าวยังเป็นการยิงครบ 500 ประตู ของสุดยอดดาวเตะบัลลงดอร์ 6 สมัย กับสโมสร อีกด้วย

 

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ไม่ง้อเมสซี่! 8 วันเดอร์คิดต่างดาวลุ้นแจ้งเกิดซีซั่นนี้