4 เกมใน 18 วัน : ย้อนรอยเอล กลาซิโก้ ฤดูกาล 2010-11

4 เกมใน 18 วัน : ย้อนรอยเอล กลาซิโก้ ฤดูกาล 2010-11

เอล กลาซิโก้’ ถือเป็นศึกใหญ่ที่แฟนบอลทั้งโลกต้องรู้จัก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ เรอัล มาดริด เจอกับ บาร์เซโลน่า มันเป็นเกมที่แฟนบอลเฝ้ารอดูเสมอ

ทั้งสองทีมเต็มไปด้วยสตาร์ระดับโลก สนามระดับความจุเฉียดแสน เกียรติยศประดับประวัติศาสตร์มากมายจนนับไม่ถ้วน หรือเอาแค่จำนวนบัลลง ดอร์ ที่นักเตะทั้งสองทีมได้รวมกัน ก็มากสุดแล้ว

ทว่าในบางฤดูกาล บางปี เราอาจได้ชมศึกระดับโลกแบบนี้ เกินกว่า 2 นัด เพราะพวกเขาอาจโคจรมาเจอกันในฟุตบอลถ้วยด้วย และไม่มีครั้งไหน ที่แฟนบอลจะรู้สึกเต็มอิ่มกับ เอล กลาซิโก้ มากไปฤดูกาล 2010-11 

เพราะมันเป็นการเจอกันของ บาร์ซ่า-มาดริด ทั้งสิ้น 4 นัด ภายในระยะเวลาเพียง 18 วัน พร้อมเป็นการดวลกันระหว่างกุนซือระดับโลกซึ่งเคยเป็นเพื่อนเก่ากันอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ โชเซ่ มูรินโญ่ อีกด้วย และ UFA ARENA จะพาไปย้อนเหตุการณ์ผ่านบทความนี้กัน

 

เพื่อนเก่าสู่คู่ปรับ

Manchester United v Manchester City: How Pep Guardiola and Jose Mourinho went from best friends to worst enemies in bitter La Liga feud | The Sun

ย้อนกลับไปในฤดูกาล 1996-97 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ โชเซ่ มูรินโญ่ รู้จัก สนิทสนมกันมาตั้งแต่ กุนซือชาวโปรตุกีส ติดตาม บ็อบบี้ ร็อบสัน เข้ามาที่บาร์เซโลน่า 

แม้จะถูกแปะป้ายว่าเป็นล่ามให้ปู่บ็อบ แต่เวลานั้น โชเซ่ ไม่ใช่แค่ล่าม ทว่าเป็นหนึ่งในทีมโค้ชด้วย และมีส่วนในการออกแบบการฝึกซ้อม เนื่องจากนายใหญ่ชาวอังกฤษ เป็นกุนซือสไตล์คลาสสิก ที่เน้นไปที่การบริหารบุคคล มากกว่าเน้นหนักไปที่แท็คติก ซึ่งมูรินโญ่ แม้แก่กว่าเป๊ป 8 ปี แต่ถือว่าเป็นคนหนุ่มยุคเดียวกันที่คุยกันถูกคอมากๆ เพราะทั้งคู่เป็นคนที่หลงใหล และเอาใจใส่ในรายละเอียดของเกมฟุตบอล

ในปีนั้น บาร์เซโลน่า เอาชนะ เปแอสเช คว้าแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ 1997 มาครอง เป๊ป เข้ามาสวมกอดกับ มูรินโญ่ ด้วยความยินดี จากนั้น บาร์ซ่า ก็เอาชนะ เรอัล เบติส 3-2 คว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ มาครองได้อีกรายการ

หลังจากนั้น น้ามู ก็ค่อยเติบโตจนกลายเป็นกุนซือชื่อก้องในเวลาต่อมา ส่วน เป๊ป หลังแขวนสตั๊ด ก็เริ่มต้นงานโค้ชกับการคุม บาร์ซ่า ชุดเยาวชน ซึ่งแม้ตอนแรก บอร์ดของ บาร์ซ่า พยายามดึงตัว เดอะ สเปเชียล วัน เข้ามาคุมทีม 

ทว่า โยฮัน ครัฟฟ์ บอกว่า คนที่เหมาะสมสุด คือหนุ่มวัย 37 ปี ที่กำลังคุมทีมชุดสำรองอยู่ต่างหาก ทำให้บอร์ดต้องตัดสินใจกลับลำ แต่งตั้ง เป๊ป มาคุมทีม ส่วน โชเซ่ ที่ว่างงานหลังโดน เชลซี มาระยเวลาหนึ่ง ก็หันหัวไปอิตาลี เข้าคุม อินเตอร์ มิลาน

กุนซือชาวสแปนิช พิสูจน์ให้เห็นฝีมือทันที ปีแรกที่คุมบาร์ซ่า เขาพาทีมเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ที่โรม ซิวถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ พร้อมคว้าทริปเบิ้ลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ในทันที

ฤดูกาลต่อมา 2009-10 อินเตอร์ ของ มูรินโญ่ เริ่มลงตัว สวรรค์บันดาลให้มาเจอกับบาร์เซโลน่า ในรอบรองชนะเลิศ นั่นคือการพบกันของ 2 หนุ่มที่เคยสนิทกันมากเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ มาเจอกันในฐานะคู่แข่ง

 

น้ามูโดนรับน้อง

Barcelona 5-0 Real Madrid: Remembering the Iconic Clasico Clash 10 Years on

บาร์ซ่า ตอนนั้นถือว่าเป็นโคตรบอลไปแล้ว แต่ อินเตอร์ ของ มูรินโญ่ กลับใช้แท็คติกและวินัย เอาชนะไปได้สำเร็จ พร้อมประกาศศักดาคว้า 3 แชมป์ได้เช่นเดียวกัน มันคือความสำเร็จที่สุดยอดของทีมงูใหญ่ และการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของ มูรินโญ่

หลังจบฤดูกาลนั้น คือจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์เพราะ มูรินโญ่ ถูกทาบทามจากฟลอเรนติโน่ เปเรซ ให้มาคุม เรอัล มาดริด ในทันที นั่นหมายความว่าในฤดูกาล 2010-11 เป๊ป และ โชเซ่ อยู่ในลีกเดียวกัน และคุม 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก 

29 พฤศจิกายน 2010 ‘เอล กลาซิโก้’ ครั้งแรกในชีวิตกุนซือของ โชเซ่ มูรินโญ่ มาถึง และฟอร์มของ ‘โลส บลังโกส’ เองก็ร้อนแรงสุดๆในตอนนั้น เมื่อยิงนัดละ 3 ลูกถึง 6 นัดจาก 12 นัดแรกของฤดูกาล ก่อนเจอบาร์ซ่า ก็เพิ่งถล่ม แอธเลติก บิลเบา มา 5-1

ทว่า น้ามู กลับโดนรับน้องในศึกแห่งศักดิ์ศรีเอง เพราะ มาดริด ออกไปโดน บาร์ซ่า ยำใหญ่ 5-0 แถม เซร์คิโอ รามอส โดนใบแดงในช่วงทดเจ็บอีกต่างหาก อีกทั้งใบเหลืองว่อน รวมแล้ว 13 ใบ เป็นของเจ้าถิ่น 6 และทีมเยือน 7

ในเวลาต่อมา มูรินโญ่ ก็ได้สติ เขากระตุ้นให้ลูกทีมลุกขึ้นสู่ใหม่ เพื่อคว้าแชมป์ลาลีก้า ความพ่ายแพ้นี้ ก็แค่เกมนัดเดียว ก่อนทำผลงานสุดยอดมาต่อเนื่องหลังจากนั้น กระทั่งเข้าสู่โปรแกรมเข้มข้นช่วงเดือนเมษายน

ณ วันที่ 16 เมษายน 2011 เป็นเกมล้างแค้นที่ เบร์นาเบว แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะอีก 4 วันต่อมา ทั้งคู่ต้องเจอกันอีก ในนัดชิงชนะเลิศ โกปา เดล เรย์ ที่ เมสตาย่า ในบาเลนเซีย และที่น่าตื่นเต้นสุดๆ คือการที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พอดี โดยเตะกันวันที่ 27 เมษายน และ 3 พฤษภาคม

18 วัน กับ ‘เอล กลาซิโก้’ 4 นัด คือสิ่งกำลังจะเกิดขึ้นในเวลานั้น โดยมีเพียงเกมลีก 2 นัด มาคั่นกลางระหว่างโปรแกรม 4 นัดนี้

 

ราชันฯถอนแค้น

Final Copa del Rey 2011 | FC Barcelona 0-1 Real Madrid | RTVE.es

เกมลีก วันที่ 16 เมษายน จบลงด้วยสกอร์ 1-1 หนนี้ บาร์ซ่า บุกมานำก่อนจากจุดโทษของ ลีโอเนล เมสซี่ ซึ่งเป็นช็อตที่ ราอูล อัลบิโอล โดนใบแดงไปด้วย ก่อนที่ นาทีที่ 82 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตีเสมอให้มาดริด จากจุดโทษเช่นกัน และนี่เป็นประตูแรกใน เอล กลาซิโก้ ของเขาด้วย

หลังเกมนั้นสื่อในสเปน รวมถึงแฟนบอลในประเทศออกมาโจมตี มูรินโญ่ ว่าทำให้ศึกนี้เสื่อมมนต์ขลัง เนื่องจาก ‘ราชันชุดขาว’ ไม่ได้เล่นเกมรุก แต่เน้นรับรอโต้อย่างเดียว

แต่หอกมองอีกมุมหนึ่ง นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เช่นกันที่ มูรินโญ่ เน้นการเล่นแบบนี้ เพราะเขามีบทเรียนมาแล้วจากเกมแรก เขาจึงใช้การเล่นที่รัดกุมแน่นอนในการเผชิญหน้ากับทีมของ เป๊ป

ต่อมาในวันที่ 20 เมษายน 2011 ที่เมสตาย่า นัดชิงชนะเลิศ โกปา เดล เรย์ ซึ่งกลายเป็นเกมที่ต่างฝ่ายต่างระมัดระวัง มาดริด เล่นอย่างมีวินัยเป็นพิเศษ จนทำให้ต้องลากไปถึงการต่อเวลาพิเศษ

นาทีที่ 103 เมสซี่ เสียบอลกลางสนามโดนตัดไปได้ มาร์เซโล่ ทำชิ่งให้ อังเคล ดิ มาเรีย ครอสจากสุดเส้น โรนัลโด้ โถมมาโขกเต็มๆ กลายเป็นประตูชัย 1-0 แม้ว่าก่อนหมดเวลา ปีกชาวอาร์เจนไตน์ จะโดนไล่ออกจากสนามก็ตาม

มูรินโญ่ ได้ฉลองแชมป์แรกแล้ว และมันมาจากการเอาชนะบาร์เซโลน่า ในนัดชิงชนะเลิศด้วย

อย่างไรก็ตาม ศึกนี้ในฤดูกาลนั้นยังไม่จบ ยังเหลืออีก 2 นัด และเป็นเกมที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อทั้ง 2 ทีม เพราะผู้ชนะจะได้เข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เวมบลีย์

 

เป๊ปขอโต้กลับ

Real Madrid v Barcelona: the European Clásicos | UEFA Champions League | UEFA.com

เลกแรกในวันที่ 27 เมษายน เตะกันที่เบร์นาเบวก่อน ซึ่ง มูรินโญ่ ยังมาในหมากเดิม เน้นเกมรับเป็นหลัก และไม่ต้องการให้ลูกทีมครองบอลมากโดยไม่จำเป็น 

พักครึ่ง เดือดแรกก็มาเมื่อ โฆเซ่ ปินโต นายทวารสำรองของบาร์ซ่า โดนใบแดงเพราะไปก่อเรื่องกับม้านั่งข้างสนามของมาดริด ระหว่างเดินเข้าอุโมงค์ทางเดิน

ลงมาเตะกันใหม่ นาทีที่ 61 ความได้เปรียบก็เป็นของทีมเยือน เพราะ เปเป้ พุ่งเข้าเตะบอลทิ้งตัดหน้า ดานี่ อัลเวส ท่าทางอันตราย ผู้ตัดสินมองว่าเป็นการเจตนาเล่นรุนแรง ทำให้เขาโดนใบแดงทันที

ทว่าหากดูแค่การปะทะ มันแทบไม่โดนตัวกันเลย นั่นทำให้ เดอะ สเปเชียล วัน ไม่พอใจสุด พร้อมปรบมือประชดประชันให้กับ อัลเวส และยกนิ้วโป้งให้ผู้ตัดสินที่ 4 แล้วพูดแซะว่า “ทำดีมาก” ซึ่งทำให้เขาเองก็โดนใบแดงไล่ขึ้นไปสงบอารมณ์บนอัฒจันทร์ด้วย

นาที 76 บาร์ซ่า ก็ได้ประตูขึ้นนำ เมื่อตัวสำรอง อิบราฮิม อเฟลลาย ที่กระชากไปเปิดให้ เมสซี่ พุ่งเข้าชาร์จ 1-0 และหากแค่สกอร์ห่างลูกเดียวมันยังไม่เท่าไหร่ แต่นาทีที่ 87 เมสซี่ โชว์เสต็ป ลากเดี่ยวไปยิงด้วยขวา กลายเป็นประตู 2-0 ทำให้เกมเลกสองของ มาดริด ยากขึ้นเป็นกอง

เกมเลกสองวันที่ 3 พฤษภาคม ย้ายวิกไปที่ คัมป์ นู เกมนี้ฝั่งของน้ามู ไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดเกมรุกมากขึ้น เขาปรับจาก 4-3-3 มาเป็น 4-2-3-1 เพิ่มตัวรุกลงไป แต่เกมโดยรวมยังเป็นรอง เพราะเรื่องของการครองบอลบาร์ซ่าเหนือกว่าชัดเจน

นาทีที่ 54 การแข่งขันก็แทบจะจบเพราะ เปโดร ได้บอลหลุดไปยิงเบียดเสาอย่างเฉียบขาดให้บาร์ซ่านำ 1-0 แต่นาทีที่ 64 มาร์เซโล่ ล้มตัวยิงด้วยซ้ายจากลูกเปิดของ ดิ มาเรีย ให้ มาดริด ตีเสมอ 1-1  ทำให้ความหวังยังพอมี หากพวกเขายิงอีก 2 ลูก จะเข้ารอบด้วยอเวย์โลก

ฝนกลับตกลงมาในช่วงเวลาที่เหลือ เกมก็เข้มข้นขึ้น อารมณ์ร่วมมาเต็ม มีการเข้าสกัดกันแรงๆ หลายครั้่ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีประตูเกิดขึ้น จบเกม บาร์ซ่า เป็นฝ่ายคว้าชัยด้วยประตูรวม 3-1 เข้าไปชิงกับแมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้ง ก่อนคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี ณ บั้นปลายซีซั่น

 

เหตุการณ์หลังจากนั้น

The Special One? How Jose Mourinho's star faded | Goal.com US

ปีแรกของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในฐานะกุนซือ เรอัล มาดริด เขาเจอกับบาร์ซ่าของ เป๊ป ทั้งหมด 5 เกม ทีมของเขาโดนใบแดง 4 นัด มีเพียงนัดสุดท้ายเท่านั้น ที่ไม่มีใบแดง

ในลาลีก้า ปีนั้น ‘ราชันชุดขาว’ ไล่ บาร์ซ่าไม่ทัน ตามหลัง 4 คะแนน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทีมที่เกมรุกดีสุดก็ตาม ด้วยการทำไปภึง 102 ประตู

‘อาซูลกราน่า’ เข้าไปสอนเชิง ‘ปีศาจแดง’ ที่เวมบลีย์ ทำให้เป๊ป กดไป 2 แชมป์ ส่วน มูรินโญ่ ซิวได้ 1 แชมป์

ฤดูกาลถัดมา 2011-12 นายใหญ่ชาวโปรตุกีส ปรับทีมให้กลายเป็นเครื่องจักรผลิตประตู โดยเฉพาะจังหวะสวนกลับที่ถือเป็นอาวุธสุดอันตราย

แม้บาร์ซ่า จะยิงได้ 114 ประตู แต่ มาดริด กดไป 121 ประตู และเก็บแต้มได้ 100 แต้ม ปาดหน้าแย่งแชมป์ลีกสูงสุดแดนกระทิงมาครองได้สำเร็จ และเป็นครั้งแรกที่ มูรินโญ่ บุกไปเอาชนะ บาร์ซ่า ได้ที่คัมป์ นู 

หลังจบฤดูกาลนั้น เป๊ป ลาตำแหน่งนายใหญ่ ‘อาซูลกราน่า’ โดยให้เหตุผลว่าขอพักจากการทำงาน แต่หลายคนเชื่อกันว่าความเข้มข้นของการชิงชัยระหว่าง บาร์ซ่า และ มาดริด มันทำให้เขาเกิดความกดดัน อีกทั้งการที่เพิ่งเข้ามาคุมทีมชุดใหญ่ได้ไม่นานหรือราวๆ 4 ปี ทำให้ยังขาดประสบการณ์ในการรับมือกับแรงกดดันที่หนักหนาต่อเนื่อง

ความเข้มข้นของ เอล กลาซิโก้ ก็ยังเข้มข้นอยู่เรื่อยๆในช่วงหลายปีต่อจากนั้น แม้ว่า เป๊ป หรือ มูรินโญ่ จะไม่ได้ห่ำหั่นกันในลีกสเปนอีกแล้ว

แต่ก็คงไม่เกินเลยนัก หากจะบอกว่าไม่มี เอล กลาซิโก้ ฤดูกาลไหนที่ดุเดือดเลือดพล่าน และเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจในสนามตลอดเกมไปมากกว่าฤดูกาล 2010-11 อีกแล้ว

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ก่อนเอ็มเวปู : 5 แข้งจำใจแขวนสตั๊ดหลังตรวจพบโรคหัวใจ
ก่อนเอ็มเวปู : 5 แข้งจำใจแขวนสตั๊ดหลังตรวจพบโรคหัวใจ