เทพนิยายบทต่อไป:ใครจะเป็นม้ามืดแห่งศึกยูโรหนนี้ ? 

 

ในที่สุดหลังจากเลื่อนมา 1 ปีเต็ม ศึกลูกหนังชิงแชมป์ แห่งชาติยุโรป 2020 ก็ได้เริ่มต้นเปิดฉากฟาดแข้งกันแล้ว ซึ่งนี่จะเป็นครั้งแรกที่มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันมากถึง 24 ชาติ แน่นอนว่าทีมที่เป็นตัวเต็งแชมป์ก็คงจะเป็นชาติอย่าง  ฝรั่งเศส ,โปรตุเกส ,เยอรมนี ,เบลเยี่ยม ,สเปน หรือ อังกฤษ ที่เต็มไปด้วยแข้งที่มีศักยภาพสูงอย่างไม่ต้องสงสัย 

 

 

 

แต่หลายครั้งที่ผ่านมา ในศึก ยูโร มักจะมีทีมม้ามืดที่มาแรงแซงทางโค้งจนคว้าแชมป์ไปครอง จนเราเรียกพวกเขาว่าทีมเทพนิยาย ไม่ว่าจะเป็น ทีมชาติ เดนมาร์ก ที่เคยทำได้เมื่อปี 1992 และ ทีมชาติกรีซ ที่ประสบความสำเร็จในปี 2004 หรือชาติอย่าง สาธารณรัฐเช็ก (เช็กโกสโลวาเกีย) ที่เคยเป็นแชมป์เมื่อปี 1976 และทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ เมื่อปี 1996 

 

 

 

วันนี้ UefaArena จะพามาดูกันว่าครั้งนี้ มีทีมใดที่จะสามารถสร้างเซอร์ไพรส์ในศึก ยูโร 2020 หนนี้ได้บ้าง

 

 

ทีมชาติ ตุรกี  

 

อยู่กลุ่ม A : ร่วมสายกับ  อิตาลี ,เวลส์ และ สวิสเซอร์แลนด์   

 

 

แม้ทัพ ไก่งวง จะไม่เคยผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ หรือคว้าแชมป์รายการใด แต่พวกเขาก็เคยสร้างเซอร์ไพรส์ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2002 และ ยูโร 2008 มาแล้ว 

 

 

ในการแข่งขันหนที่แล้วที่ฝรั่งเศส ตุรกี จะต้องอกหักตกรอบแบ่งกลุ่ม แต่คราวนี้บอกเลยว่าพวกเขามีศักยภาพมากพอ ที่จะประสบความสำเร็จ และเป็นหนึ่งในทีมม้ามืด โดย  เซนอล กูเนส  ขรัวเฒ่าแห่ง แดนไก่งวงวัย 69 ปี ที่เคยคุมทีมชาติตุรกี เมื่อ​ฟุตบอลโลก 2002 และสามารถพาทีมจบอันดับ 3 มาแล้ว จะเป็นกุนซือของทีมชุดนี้อีกครั้ง 

 

 

โดยผลงานที่น่าประทับใจก่อนหน้านี้  กูเนส นั้นพาทัพ ไก่งวง ถล่มเอาชนะ เนเธอร์แลนด์ มาแล้ว 4-2 ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเกมดังกล่าว บูรัค ยิลมาซ กองหน้าวัย 35 ปี ทำแฮททริคได้ด้วย โดยดาวยิงลีลล์รายนี้เพิ่งระเบิดฟอร์มซัดไป 16 ประตูช่วยให้ทีมเป็นแชมป์ลีกเอิง ฝรั่งเศสมาด้วย

 

 

และหากมองในภาพรวมต้องบอกว่าทีมชาติ ตุรกี ชุดนี้นั้นเต็มไปด้วยแข้งที่ยอดเยี่ยมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฮาคาน คัลฮาโนกลู จอมทัพจาก เอซี มิลาน ,ยูซูฟ ยาซิซี่ มิดฟิลด์ที่ทำแอสซิสต์ไปถึง 14 ครั้งจากลีลล์  หรือคู่กองหลังที่จะมีทั้ง  คัลการ์ โซยุนซู จาก เลสเตอร์ ซิตี้ และ เมริต เดมิราล จาก ยูเวนตุส  

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

ทีมชาติ โปแลนด์ 

อยู่กลุ่ม E : ร่วมสายกับ สเปน ,สวีเดน และ สโลวาเกีย 

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในศึก ยูโร 2016 โปแลนด์ เรียกว่าโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมสุดๆ ด้วยการไม่แพ้ให้กับทีมใดเลย เริ่มจากเป็นแชมป์กลุ่มจากผลงาน ชนะ 2 เสมอ 1 ก่อนที่รอบ 8 ทีม  จะเสมอกับ สวิสเซอร์แลนด์ ก่อนยิงจุดโทษเอาชนะ และไปเสมอกับ โปรตุเกส 1-1 ในรอบ 8 ทีม แต่สุดท้ายต้องตกรอบจากการดวลจุดโทษเช่นกัน

 

 

มายูโรหนนี้ไม่มีชาติไหนที่มีกองหน้าที่ยิงประตูได้มากกว่า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กัปตันทีมชาติโปแลนด์ ที่ยิงไปถึง 41 ประตูในเกมลีกบุนเดสลีกา และเขาควรจะได้รางวัลบัลลงดอร์ เมื่อปีก่อนหลังพาทีม บาเยิร์น มิวนิค คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ แต่จากการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้รางวัลดังกล่าวต้องยกเลิกไป 

 

 

หากมอกจากทัพ โปแลนด์ ชุดนี้พวกเขามีศักยภาพที่ยอดเยี่ยม และบอกเลยว่า เปาโล ซูซ่า กุนซือชาวโปรตุเกส นั้นมีทีมที่น่าจับตาเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น มาแตอุช กลิค ห้องเครื่องจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด ,ยาคุม โมเดอรื จาก ไบรท์ตัน และ 2 คู่หูจาก โลโคโมทีฟ มอสโกอย่าง เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวียค  และ มาเซจ ไรบุส  

 

 

ซึ่งในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับ สเปน ,สโลวาเกีย และ สวีเดน นั่นทำให้เชื่อเหลือเกินว่า โปแลนด์ จะมีโอกาสไม่น้อยที่พวกเขาจะสร้างเซอร์ไพรส์ในการแข่งขันครั้งนี้ 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทีมชาติ โครเอเชีย 

อยู่กลุ่ม B : ร่วมสายกับ อังกฤษ ,สก็อตแลนด์ ,สาธารณรัฐเช็ก 

 

แฟนบอลหลายคนอาจบอกว่าทัพ ตราหมากรุก นั้นผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว หลังเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2018 แต่สุดท้ายต้องพ่ายให้ ฝรั่งเศส 2-4 ซึ่งแข้งจากทีมชุดนั้นหลายรายก็ตัดสินใจรีไทร์จากทีมชาติไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อิวาน ราคิติช ,มาริโอ มานด์ซูกิช หรือ ดาเนียล ซูซาซิช 

 

 

แต่นักเตะคนอื่นๆที่ยังเหลืออยู่นั้นยังเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และไฟในตัวที่จะนำพาทัพ ตราหมากรุก ประสบความสำเร็จให้ได้ซักครั้ง ไม่ว่าจะเป็น อิวาน เปริซิช ,ซิเม เวอร์ซัจโก้ ,มาร์เซโล โบรโซวิช ,อันเต เรบิช และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ลูก้า โมดริช จอมทัพกัปตันทีมแห่ง เรอัล มาดริด 

 

 

ในวัย 35 ปี อาจจะดูเป็นช่วงท้ายอาชีพค้าแข้งของเจ้าของฉายา ลิตเติลโมซาร์ด แต่หากมองไปที่ผลงานของเขากับทัพ ราชันชุดขาว เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเขายังคงเต็มไปด้วยศักยภาพที่ยอดเยี่ยม และแน่นอนว่าเขาจะยังเป็นหัวใจในแดนกลางของ โครเอเชีย ชุดนี้้ 

 

 

แม้ผลงานในรอบแบ่งกลุ่ม รวมไปถึงรายการอื่นๆอย่าง เนชั่นส์ลีก และ ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ทัพ ตราหมากรุก อาจจะไม่ได้มีฟอร์มการเล่นที่ดีนัก แต่ทุกครั้งที่พวกเขาผ่านมาถึงรอบสุดท้าย ด้วยผลงานทุลักทุเลก็มักจะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมให้เห็นเสมอ 

 

ทีมชาติ เดนมาร์ก

อยู่กลุ่ม B : ร่วมสายกับ เบลเยี่ยม ,รัสเซีย และ ฟินแลนด์ 

 

 

 

“เทพนิยายเดนส์” เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 29 ปีที่แล้ว  มาในครั้งนี้พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งในชาติเจ้าภาพในศึกยูโร  และในกลุ่ม บีที่จะลงสนามก็จะได้เล่นใน โคเปเฮเก้น บ้านตัวเองด้วย ทำให้ทัพ โคนม มีโอกาสที่จะทำเซอร์ไพรส์ได้สำเร็จอีกครั้ง

 

 

สำหรับ แคสเปอร์ ฮยุลมันด์ กุนซือของทีม ได้นำทัพ “โคนม” ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยผลงานรองแชมป์กลุ่มดีในเกมรอบคัดเลือก และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือพวกเขาไม่ได้พ่ายให้กับทีมใดเลย พร้อมกันนี้ยังคว้าชัยชนะได้ถึง 8 จาก 12 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ  

 

 

 ยิ่งด้วยขุมกำลังของทีมชุดนี้ที่น่าสนใจไม่น้อย เรียกว่าแน่นปึ๊กตั้งแต่ผู้รักษาประตูที่มี แคสเปอร์ ชไมเคิล จอมหนึบกัปตันทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ยืนเฝ้าเสา ส่วนเกมรับจะนำโดย อันเดรียส คริสเตนเซ่น จากเชลวี และ ซิมง เคียร์ จาก เอซี มิลาน  ขณะที่แดนกลางก็จะมี โธมัส เดลานีย์ จากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยืนเป็นห้องเครื่องร่วมกับ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบียร์ก จาก ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ส พร้อมให้ คริสเตียน เอริคเซ่น ยืนเป็นจอมทัพ และมี  มาร์ติน เบรธเวท จาก บาร์เซโลน่า และ ยุสซุฟ โพลเซ่น ดาวยิงแอร์เบ ไลป์ซิก เป็นหัวหอกทะลวงตาข่าย 

 

 

ในรอบแบ่งกลุ่มหนนี้เชื่อว่า เดนมาร์ก ดีพอที่จะจบด้วยตำแหน่งรองกลุ่มเป็นอย่างน้อย ส่วนในรอบต่อไปพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร และะคงไม่มีเวลาไหนอีกแล้วที่จะปลุก เทพนิยายเดนส์ ให้ฟื้นคืนชีพได้ดีเท่าครั้งนี้อีกแล้ว

 

 

 

  

DaboyG

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ยูโร 2020