เป้าหมายคือแชมป์! ซีเกมส์ 2023 ช้างศึกล่าเหรียญทองไม่ง่าย

ช้างศึก

ศึกฟุตบอล ซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จะเริ่มต้นออกสตาร์ทในวันเสาร์ที่ 29 เมษายนนี้ ส่วนทีมชาติไทย จะลงเล่นเกมแรกในวัดถัดไป โดยจะพบกับ สิงคโปร์ ที่สนาม ปรินซ์ สเตเดียม ซึ่งแน่นอนว่าเกมออกสตาร์ทคงไม่ใช่งานที่ง่ายแน่นอน

อย่างที่เป็นมาตลอดศึกฟุตบอล ซีเกมส์ สำหรับทัพ “ช้างศึก” เป้าหมายเดียวคือการคว้าเหรียญทองเท่านั้น และยิ่งครั้งนี้มีความคาดหวังสูงมาก เพราะเราห่างหายจากการเป็นแชมป์ไปนานกว่า 6 ปี นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้แชมป์เมื่อปี 2017 ในซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

แน่นอนว่าภารกิจครั้งนี้ไม่ง่ายแน่นอน เพราะต้องยอมรับว่าก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้นขึ้นเราค่อนข้างมีปัญหาพอสมควร โดยเฉพาะการขาดแกนหลักคนสำคัญหลายราย รวมถึงเวลาในการเตรียมทีมที่มีเวลาจำกัด

เพราะฉะนั้นวันนี้ UFAARENA จะขอพาไปวิเคราะห์สิ่งที่ทีมชาติไทย ต้องเผชิญสำหรับการไล่ล่าเหรียญทองใน ซีเกมส์ หนนี้ ซึ่งต้องบอกเลยว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อยทีเดียว

 

ขาดผู้เล่นแกนหลักของทีม

อย่างที่หลายคนเข้าใจกันดีว่าการแข่งขันฟุตบอล ซีเกมส์ ไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์ที่อยู่ในช่วงโปรแกรม ฟีฟ่า เดย์ ทำให้ปัญหาใหญ่ของทีมชาติไทย คือการเรียกใช้งานนักเตะตัวหลักของทีมชุดนี้หลายราย โดยเฉพาะบรรดาผู้เล่นที่เป็นตัวหลักของสโมสร ซึ่งเวลานี้โปรแกรมการแข่งขันในลีกกำลังอยู่ช่วงโค้งสุดท้าย

โดยแกนหลักคนสำคัญของ “ช้างศึก” รุ่นอายุไม่เกิน 22 ปี ที่ไม่ได้รับการปล่อยตัวจากสโมสรอย่างเช่น ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ซึ่งเจ้าตัวคือคีย์แมนในการพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไล่ล่า 3 แชมป์ ในฤดูกาลนี้ และขยับขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่เรียบร้อยแล้ว ทว่านับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็นเขาใน ซีเกมส์

ขณะที่นักเตะซึ่งทำผลงานได้ดีใน โดฮา คัพ อย่าง วิลเลี่ยม ไวเดอร์เฌอ มิดฟิลด์ดาวรุ่ง การท่าเรือ เอฟซี และ ชนภัช บัวพันธ์ ปราการหลัง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็จะไม่มีชื่อเช่นกันเนื่องจากสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์

แต่ถึงกระนั้นนักเตะ 20 คนสุดท้าย ที่ถูกส่งรายชื่อเพื่อลงเตะทัวร์นาเมนต์นี้ ล้วนแต่เป็นผู้เล่นคุณภาพสูงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกองหน้าตัวความหวังอย่าง ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ซึ่งกำลังถูกจับตามองอย่างมาก และเคยก้าวขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่มาแล้ว หรือแม้กระทั่ง ชยพิพัฒน์ สุพรรณเภสัช กองกลางไดนาโมที่อิมพอร์ตมาจาก เอสซี ไปรเอ็นเซ สโมสรระดับดิวิชั่น 4 ของโปรตุเกส ซึ่งประสบการณ์จากการลงเล่น ซีเกมส์ 2021 ที่กรุงฮานอย น่าจะช่วยทีมได้ไม่น้อยเช่นกัน

นอกจากนั้นทีมชุดนี้ยังมีดาวรุ่งฟอร์มแรงอย่าง ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, ลีออน เจมส์, อนันต์ ยอดสังวาลย์ และ ยศกร บูรพา กองหน้าอนาคตไกลวัย 17 ปี จาก สมุทรปราการ ซิตี้ ที่รายการนี้อาจเป็นเวทีแจ้งเกิดสำหรับเขาเช่นกัน

 

เวลาเตรียมทีมน้อย

อีกหนึ่งอุปสรรคที่อาจส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของทัพ “ช้างศึก” ใน ซีเกมส์ ครั้งนี้ คือปัญหาเรื่องของเวลาการเตรียมทีมที่น้อยมาก และไม่มีโปรแกรมอุ่นเครื่องเลย ก่อนที่ทัวร์นาเมนต์จะออกสตาร์ทในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ปัญหานี้อันเนื่องมาจากช่วงเวลาการแข่งขัน ซีเกมส์ ที่กรุงพนมเปญ ขยับมาแข่งขันกันในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งจากเดิมจะแข่งขันกันช่วงปลายปี ทว่าช่วงนี้การแข่งขันฟุตบอลลีกของไทย ยังไม่ปิดการแข่งขัน รวมถึงลีกอื่นในอาเซียน ก็เช่นกัน

นั่นทำให้ “โค้ชหระ” เรียกผู้เล่นทีมชุดนี้มารวมตัวกันแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น และไม่มีเกมอุ่นเครื่องเพื่อเตรียมความพร้อมเลย ต่างกันชาติอื่นอย่าง มาเลเซีย หรือ เวียดนาม ที่มีการเตรียมทีมมาอย่างต่อเนื่องและมีเกมให้ได้ลองทีมไปบ้างแล้ว

อย่างไรก็ตามแกนหลักหลายคนของทีมชุดนี้ ยังคงเป็นบรรดานักเตะที่เคยเล่นด้วยกันในศึก โดฮา คัพ เมื่อเดือนมีนาคม มาแล้ว เพราะฉะนั้นการปรับตัวและความเข้าใจในเกมระหว่างผู้เล่นอาจจะมีปัญหาในช่วงออกสตาร์ทการแข่งขัน แต่เชื่อว่าหลังจากนั้นในเกมที่ 2 หรือ 3 น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

 

คู่แข่งแกร่งขึ้น

ซีเกมส์ 2023 จะเป็นอีกครึ่งหนึ่งที่ศึกฟุตบอลชายจะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดและขับเคี่ยวกันแบบสุดมันส์แน่นอน เพราะนอกจากทีมชาติไทย แล้ว หลายชาติสามารถยกระดับมาตราฐานทีมขึ้นมาแบบก้าวกระโดด

เริ่มต้นมองคู่แข่งในกลุ่มเดียวกันอย่าง มาเลเซีย แน่นอนว่าทีมระดับเยาวชนพวกเขามีขุมกำลังที่แข็งแกร่งและสามารถต่อกรได้ทุกทีม โดย “เสือเหลือง” ชุดนี้นำทัพโดยปราการหลังอย่าง อาซาม อัสมี แบ็คขวาที่ก้าวขึ้นไปติดทีมชุดใหญ่มาแล้ว ส่วนกองกลางตัวทำเกมเบอร์ 10 อย่าง อลิฟ อิซวาน เป็นอีกคนที่น่าจับตามองเช่นกัน รวมถึงกองหน้าตัวความหวัง ฮากิมี อาซิม รอสลี กองหน้าที่กำลังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมกับ กัวลาลัมเปอร์ ซิตี้ เอฟซี

อีกทีมที่น่าจับตามองคือ อินโดนีเซีย พวกเขาถือว่าพัฒนาได้เร็วมากตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา แถมบรรดานักเตะของทีมชุดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขามีอยู่ นำทัพโดย ปราตามา อาร์ฮัน แบ็คซ้ายย้ายยอดเยี่ยม เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ที่ปัจจุบันเล่นอยู่ โตเกียว เวอร์ดี อีกคนคือ มาร์เซลิโน เฟอร์ดินัน กองกลางพรสวรรค์ที่กลายเป็นตัวหลักของทีมชุดใหญ่ไปแล้ว และเพิ่งประเดิมประตูแรกให้กับต้นสังกัดในลีกรองเบลเยียม อย่าง ไดน์เซ่ เพราะฉะนั้นดูจากขุมกำลัง “เดอะ การูด้า” เป็นอีกทีมที่ประมาทไม่ได้เช่นกัน

ขณะที่แชมป์เก่าอย่าง เวียดนาม พวกเขามีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร หลังกุนซือ ปาร์ค ฮัง โซ แยกทางไปแล้ว และเป็น ฟิลิปป์ ทรุสซิเยร์ อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ที่ถูกดึงมาคุมทีมแทน ส่วนตัวผู้เล่นที่น่าจับตามองคือกองกลางอย่าง เล วัน โด ซึ่งกำลังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมกับต้นสังกัด รวมถึงกองหน้าอย่าง เหงียน วัน ทัง กองหน้าตัวหลักที่อยู่ในทีมชุดแชมป์ ซีเกมส์ 2021 และเคยยิงประตูทีมชาติไทย มาแล้วในศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2022 แม้ทีมชุดนี้อาจไม่แข็งแกร่งเท่ากับทีมที่คว้าแชมป์ อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งในครั้งนี้เหมือนเดิม

 

เล่ห์เหลี่ยมเจ้าภาพมาแน่

ต้องบอกเลยว่าฟุตบอลถือเป็นอีกหนึ่งเหรียญใหญ่ที่เจ้าภาพอย่าง กัมพูชา ต้องการจะคว้ามาครองให้ได้ใน ซีเกมส์ หนนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทีมชาติไทย ต้องระวังเป็นพิเศษคือเล่ห์เหลี่ยมที่เจ้าภาพจะงัดออกมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเอง

จากการแข่งขัน ซีเกมส์ หลายครั้งที่ผ่านมา สิ่งที่มักอยู่คู่กับการแข่งขันมาตลอดคือการตัดสินของผู้ตัดสินแบบค้านสายตา โดยเฉพาะการทำให้ชาติเจ้าภาพได้เปรียบเพื่อสร้างโอกาสในการคว้าชัยชนะ สำหรับการแข่งขันฟุตบอลเองก็เช่นกัน นี่คือสิ่งที่ “ช้างศึก” ต้องระวังเป็นพิเศษหากต้องการที่จะประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์นี้

สิ่งแรกที่เราเห็นชัดเจนคือการจับสลากแบ่งสายเกมรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งทีมเต็งอย่าง ไทย, เวียดนาม และ มาเลเซีย ต้องมาเจอกันเอง แถมมีทีมอย่าง ลาว ที่ผลงานในระดับชุด U22 ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน กลับกันในกลุ่มเจ้าภาพล้วนแล้วแต่เป็นทีมที่แข็งแกร่งน้อยกว่า กัมพูชา แทบทั้งหมด จะมีแค่ อินโดนีเซีย ที่น่าจะเบียดแย่งตำแหน่งแชมป์กลุ่มกับพวกเขา

อีกอย่างคือการตัดสิน มีโอกาสสูงมากหากที่ ไทย กับ กัมพูชา อาจต้องโคจรมากเจอกันในเกมรอบรองชนะเลิศ และยิ่งสถานการณ์นอกสนามระหว่างทั้งสองประเทศกำลังระอุ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอาจต้องเจอกับบรรยากาศที่อึดอัดหากต้องลงสนามเจอกับเจ้าภาพ

 

โปรแกรมเตะสุดโหด

การจัดโปรแกรมการแข่งขันเกมรอบแบ่งกลุ่ม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความยากลำบากให้กับทีมชาติไทย ไม่น้อย เพราะโปรแกรมส่วนใหญ่ต้องลงเตะในช่วง 16.00 น. ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศยังคงร้อน และมีเวลาพักก่อนจะลงสนามเกมต่อไปแค่ 2 วัน เท่านั้น

โดยในเกมนัดแรกทีมชาติไทย ต้องลงสนามเจอกับ สิงคโปร์ ในวันที่ 30 เมษายน ก่อนที่จะได้พัก 6 วัน ถึงลงสนามเกม 2 พบ มาเลเซีย ซึ่งถือเป็นเกมที่หนักแน่นอน หลังจากนั้นอีก 2 วัน จะต้องเจอกับลาว กับเวลาในการพักแค่เพียง 72 ชม. เท่านั้น ท่ามกลางการเล่นในช่วงเวลาที่อุณหภูมิประมาณ 30-40 องศา นับว่าเป็นงานที่โหดไปน้อย

หลังจากนั้นอีก 3 วัน จะต้องลงสนามเกมสุดท้ายพบกับ เวียดนาม ซึ่งนี่จะเป็นเกมเดียวที่ ไทย ได้ลงเล่นในช่วงเวลา 19.00 น. ผิดกับทาง เวียดนาม ที่จะได้ลงเล่นในช่วงเวลานี้ถึง 3 นัด และเล่นตอน 16.00 น. แค่เกมเดียวเท่านั้น

 

ธีรศิลป์