นับเป็นการเซ็นสัญญาที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยทีเดียว ภายหลังยอดทีมอย่าง ชลบุรี เอฟซี ตัดสินใจคว้า ฟาอิก โบลเกียห์ ดาวยิงซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายแห่งราชวงศ์บรูไน เข้ามาค้าแข้งในศึก ไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก ซีซั่น 2021/2022 ช่วงเลกสอง
ฟาอิก โบลเกียห์ ถือเป็นผู้เล่นที่มีเรื่องราวน่าสนใจ เนื่องจากเขาคือนักฟุตบอลที่ว่ากันว่ารวยที่สุดในโลก โดยมีทรัพย์สินมากกว่าสองสุดยอดแข้งอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หลายเท่าตัว
นอกจากนั้นเขายังเคยผ่านการเป็นนักเตะเยาวชนของหลายสโมสรของยุโรป มาแล้ว โดยเฉพาะสองทีมดังบนเกาะอังกฤษ อย่าง เชลซี และ เลสเตอร์ ซิตี้
วันนี้ UFAARENA จะขอพาไปทำความรู้จักกับศูนย์หน้าคนใหม่ “ฉลามชล” ให้มากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่เราจะได้เห็นฝีเท้าของเขาในการลงเล่นบนลีกสูงสุดของเมืองไทย ในเร็วนี้
หลานสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัสซานัล โบลเกียห์
ทัพ “ฉลามชล” เพิ่งเรียกเสียงฮือฮาจากทั้งแฟนบอลไทย และทั่วทั้งอาเซียน เมื่อพวกเขาตัดสินใจเซ็นสัญญาคว้า ฟาอิก โบลเกียห์ เจ้าชายแห่งราชวงศ์บรูไน เข้ามาค้าแข้งในศึก ไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก ช่วงเลกสอง ของซีซั่น 2021/2022 แบบไม่มีค่าตัว
ฟาอิก โบลเกียห์ มีศักดิ์เป็นถึงหลานแท้ๆ ของกษัตริย์แห่งราชวงศ์บรูไน องค์ปัจจุบัน โดยพ่อของเขา เจฟรี โบลเกียห์ เป็นน้องชายของสุลต่านฮัสนัล โบลเกียห์
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นถึงเจ้าชายแห่งบรูไน ทว่า ฟาอิก กลับเลือกใช้ชีวิตแบบสามัญชนและใฝ่ฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นเชื้อพระวงศ์คนเดียวของบรูไน ที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในการบริหารประเทศเลย
นักบอลที่รวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สิน 25,000 ล้านดอลลาร์
หลายคนอาจถกเถียงกันว่า ระหว่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ใครกันคือนักฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดของโลก ทว่าอันที่จริงแล้วตำแหน่งนี้กลับตกเป็นของ ฟาอิก โบลเกียห์ ซึ่ง Forbes นิตยาสารชื่อดังระดับโลก เปิดเผยว่า หลานชายกษัตริย์แห่งราชวงศ์บรูไน มีทรัพย์สินประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 8.33 แสนล้านบาท
โดยหากเทียบกับ เมสซี่ ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ มีทรัพย์สินประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ โรนัลโด้ มีทรัพย์สิน 450 ล้านดอลลาร์ ตามรายงางอ้างอิงของสามสื่อดังอย่าง Celebrity Net Worth, Forbes และ The Richest
เคยอยู่กับทีมเยาวชน เชลซี และ เลสเตอร์ ซิตี้
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ทำให้ ฟาอิก โบลเกียห์ เดินทางมายังประเทศอังกฤษ ตั้งแต่อายุยังน้อย พร้อมเซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชน เอเอฟซี นิวเบอร์รี ในปี 2008 ด้วยวัยแค่เพียง 10 ปี ก่อนที่ฤดูกาลถัดมาจะย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชน เซาแธมป์ตัน
กระทั่งซีซั่น 2014/2015 ฟาอิก ได้รับการเซ็นสัญญา 2 ปี เข้ามาเป็นเด็กฝึกของแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง เชลซี ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาเคยทดสองฝีเท้ากับอีกสองสโมสรดังเมืองผู้ดีอย่าง เร้ดดิ้ง และ อาร์เซน่อล นับเป็นอีกก้าวสำคัญบนเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเจ้าชายบรูไน เลยก็ว่าได้
จนถึงช่วงหน้าร้อนปี 2016 เมื่อสัญญากับ เชลซี หมดลง ฟาอิก เลือกย้ายมาร่วมทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งตลอดระยะเวลากับทัพ “จิ้งจอกสยาม” รัชทายาทแห่งราชวงศ์บรูไน ลงเล่นกับทีมชุดเยาวชน 5 นัด โดยทั้งหมดคือการลงสนามศึก ยูฟ่า ยูธ ลีก ซีซั่น 2016/2017 อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วเขาไม่สามารถทรอดแทรกขึ้นไปเล่นให้กับชุดใหญ่ได้สำเร็จ ก่อนสัญญากับสโมสรจะหมดลงช่วงหน้าร้อนปี 2020
ติดทีมชาติตั้งแต่อายุยังน้อย
แม้จะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์บรูไน ทว่า ฟาอิก โบลเกียห์ เคยถูกจับตาจากแมวมองของทีมชาติสหรัฐอเมริกา ชุดเยาวชนมาแล้ว เนื่องจากเจ้าตัวเกิดที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้สามารถเลือกเล่นได้ทั้งสองชาติ
อย่างไรก็ตาม ฟาอิก ตัดสินใจเลือกเล่นกับทีมชาติบรูไน โดยเริ่มต้นตั้งชุด U19 และ U23 ซึ่งเขาเคยผ่านสังเวียนการฟาดแข้งในรายกาย ซีเกมส์ เมื่อปี 2015 ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นเจ้าภาพมาแล้ว ด้วยวัยแค่เพียง 17 ปี เท่านั้น พร้อมกับรับหน้าที่เป็นกัปตันทีม
ส่วนกับทีมชาติชุดใหญ่ ฟาอิก ลงสนามเกมแรกอย่างเป็นทางการให้กับ บรูไน ในแมตช์ที่พบ ติมอร์ เลสเต ศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 รอบคัดเลือก ซึ่งเขาลงเล่นครบ 90 นาที พร้อมพาทีมเอาชนะคู่แข่ง 2-1 เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2016
เริ่มต้นค้าแข้งอาชีพกับ มาริติโม่
ทันทีที่หมดสัญญากับ เลสเตอร์ ซิตี้ ช่วงหน้าร้อนปี 2020 เจ้าชายบรูไน ตัดสินใจย้ายมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัวกับ มาริติโม่ สโมสรบนลีกสูงสุดของลีกโปรตุเกส
ภายหลังการเซ็นสัญญากับยอดทีมแดนฝอยทองเป็นเวลา 3 เดือน ฟาอิก ถูกส่งลงสนามให้กับ มาริติโม่ บี ในแมตช์เสมอ สปอร์ติ้ง ลิสบอน U23 ด้วยสกอร์ 3-3 เมื่อเดือนธันวาคมปี 2020 หลังจากนั้นอีก 5 วัน เขาถูกใส่ชื่อเป็นตัวสำรองกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรกนัดที่พบกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวต้องนั่งข้างสนามตลอด 90 นาที ในเกมดังกล่าว
ท้ายที่สุดตลอดระยะเวลาที่อยู่กับ มาริติโม่ เป็นเวลาหนึ่งฤดูกาล ฟาอิก โบลเกียห์ ไม่ได้รับโอกาสลงเล่นกับทีมชุดใหญ่แม้แต่นัดเดียว นั่นทำเขาจะตัดสินใจยกเลิกสัญญากับสโมสรเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม ปี 2021 ก่อนกลายมาเป็นนักเตะใหม่อย่างเป็นทางการของ ชลบุรี เอฟซี เรียบร้อยแล้ว
ตำแหน่งและสไตล์การเล่น
ตำแหน่งถนัดของ ฟาอิก โบลเกียห์ คือการเล่นแนวรุกทางริมเส้นด้านขวา และสามารถยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าได้ด้วย ซึ่งนี่ถือเป็นการเสริมทัพที่ยอดเยี่ยมสำหรับ ชลุบรี เอฟซี ไม่น้อย โดยเฉพาะภายหลังที่พวกเขาเพิ่งเสียนักเตะคนสำคัญอย่าง วรชิต กนิตศรีบําเพ็ญ ให้กับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้
ส่วนสไตล์การเล่น แข้งวัย 23 ปี เป็นนักเตะที่มีความเร็ว, ไปกับบอลได้ดี และจบสกอร์เฉียบคม ถือเป็นผู้เล่นที่ “ฉลามชล” ขาดหายไป นับตั้งแต่พวกเขาเสีย แฮร์ริสัน ไคออน ศูนย์หน้าชาวบราซิล ออกจากทีมหลังจบเลกแรกของฤดูกาล 2020/2021
เชื่อได้เลยว่าการมาของ ฟาอิก จะช่วยยกระดับเกมรุกให้กับทีมของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ได้ไม่น้อยทีเดียว นอกจากนั้นการได้เล่นร่วมกับแข้งต่างชาติฝีเท้าคุณภาพอย่าง จิดี้ คานยุค และ เดนิส มูเรโร่ น่าจะเพิ่มความอันตรายให้กับเจ้าตัวรวมถึงแนวรุกของ ชลบุรี ได้แน่นอน
ชลบุรี เอฟซี ได้อะไรจากดีลนี้
นอกจากคุณภาพการเล่นเกมรุกที่น่าจะถูกยกระดับขึ้นมาพอสมควร กับการที่ ฟาอิก โบลเกียห์ ย้ายมาอยู่กับ ชลบุรี เอฟซี อีกสิ่งหนึ่งที่ยอดทีมภาคตะวันออกของไทย จะได้รับแน่นอน คือฐานแฟนบอลใหม่จากประเทศบรูไน ที่ต้องการตามเชียร์นักเตะขวัญใจของพวกเขา
โดยโมเดลนี้ประสบความสำเร็จมาแล้ว หลัง ชลบุรี เอฟซี ดึงผู้เล่นทีมชาติมาเลเซีย อย่าง จูเนียร์ เอลด์สตอล เข้ามาอยู่กับทีม และนั่นทำให้ Astro Arena สถานีโทรทัศน์ของประเทศมาเลเซีย ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ ไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก ไปถ่ายทอดสด เพื่อให้แฟนบอลได้ติดตามผลงานของแข้ง “ฉลามชล” รวมถึง โดมินิค ตัน แนวรับอนาคตไกล โปลิศ เทโร รวมถึงในเรื่องของสินค้าของสโมสรไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกหรือเสื้อแข่ง ก็น่าจะได้รับความสนมากขึ้นด้วย
นอกจากนั้นอีกหนึ่งสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ คือการมีนักเตะที่มีสไตล์การเล่นและเติบโตมากับฟุตบอลยุโรป ซึ่งแน่นอนว่ามันแตกต่างจากในเอเชีย หรือบ้านเราแน่นอน ซึ่งนั่นคงคล้ายกับการที่เราได้เห็นนักเตะอย่าง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ลงเล่นกับทีมชาติไทย ซึ่งคลาสบอลและวิธีการเล่นถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว